เป็นนักขาย ควรเรียนต่อปริญญาโทด้าน MBA หรือไม่

การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เป็นสิ่งที่คนประสบความสำเร็จลงมือทำทุกคน ไม่มีใครที่สำเร็จได้โดยการปราศจากการเรียนรู้ ยิ่งถ้าคุณเป็นน้ำที่เต็มแก้วแล้ว คุณมีโอกาสที่จะล้มเหลวสูงมาก เพราะคนที่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาจะค่อยๆ แซงคุณไป โดยเฉพาะโลกแห่งการค้าขายและธุรกิจ

หลักสูตร MBA ในปัจจุบัน นับว่าเป็นหลักสูตรที่น่าสนใจและมีหลายสถาบันเปิดสอนอย่างแพร่หลาย เพราะความสำคัญเชิงธุรกิจนั่นเอง ถือว่าเป็น “การต่อยอด” ทางความรู้ที่ได้รับการรับรองให้เป็นมาตรฐาน

หลายคนมีข้อถกเถียง โดยเฉพาะคนที่ตั้งใจทำธุรกิจหรือทำงานประจำอยู่แล้ว ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ที่ต้องเสียเวลาเรียน MBA เพื่ออัพเกรดตัวเอง บางคนก็ว่าจำเป็น แต่บางคนก็บอกว่าไม่จำเป็น

มาดูเหตุผลของผมกันเลยครับว่าคุณควรเรียนหรือไม่ควรเรียน MBA กันเลย

#เหตุผลที่ควรเรียน

1. ถ้าคุณต้องการขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กร

ไม่จำเป็นเสมอไปที่คุณต้องเลือกเดินเส้นทางของชีวิตด้วยการเป็นเจ้าของกิจการ เพราะมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คุณ “หลงไหล” เพียงอย่างเดียวในชีวิตก็ได้ การเลือกเส้นทางสู่การเป็น “ลูกจ้างมืออาชีพ” ก็เป็นอีกทางเลือกชีวิตที่มีเกียรติ มีเครดิตทางสังคมที่ดี มีเงินเดือน มีสวัสดิการในระดับสูง มีลูกน้องบริวารมากมาย แถมยังมีโอกาสได้ทำงานกับองค์กรระดับสุดยอดที่ถ้าคุณเจ๋งจริง คุณก็สามารถถูก “ซื้อตัว” ไปอยู่ที่อื่นด้วยค่าเหนื่อยระดับสูงได้ ไม่ต้องเสียแรงลงทุนสร้างบริษัท ใช้เงินลงทุน และยังมีความเสี่ยงสูงเหมือนเจ้าของกิจการ

แน่นอนว่า “ดีกรี” ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น อย่าลืมว่าการถูกเลือกให้เป็นผู้บริหารระดับสูง เช่น ตำแหน่ง Vice President, Director, Managing Director ฯลฯ ย่อมต้องทำการคัดเลือกอย่างละเอียดถี่ถ้วน ถึงแม้ว่าคุณจะขายเก่งแค่ไหน แต่คุณย่อมเจอ “ตัวเลือก” ที่มีผลงานและความเจ๋งพอๆ กับคุณ ถ้าคุณขาดดีกรีด้าน MBA คุณอาจจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้เพราะ “คุณวุฒิ” ของคุณสู้ตัวเลือกไม่ได้นั่นเองครับ การเรียน MBA จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับอนาคตในหน้าที่การงานของคุณด้วย ถ้ามีโอกาสเหมาะๆ คุณได้หยิบมาโม้เป็น “คุณสมบัติ” ที่ดีแน่นอน

2. ถ้าคุณต้องการคอนเน็กชั่นจากบุคคลชั้นเยี่ยมที่หลากหลายมากขึ้น

การเข้าเรียนเพื่อเพิ่มดีกรี คุณย่อมเจอกับสังคมของกลุ่มคนที่มีความคิดคล้ายๆ กับคุณ สังคมของคนเรียนต่อด้าน MBA ส่วนใหญ่จะเป็นนักขายจากองค์กรชั้นนำ พนักงานระดับสูง นักธุรกิจ ผู้บริหารระดับสูง ฯลฯ ซึ่งถ้าก่อนหน้านี้คุณเอาแต่ขายอย่างเดียว ไม่มีเวลาแสดงหาคอนเน็กชั่นใหม่ๆ จากคนในสังคมหรือธุรกิจอื่นๆ การเรียนต่อ MBA ก็เป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้คุณได้เจอสังคมใหม่ๆ ได้ทำงานหรือโปรเจคร่วมกันระหว่างการเรียน คุณอาจจะได้โอกาสในการ “ทำธุรกิจ” ร่วมกับคนเหล่านี้ในอนาคตก็ได้ หรือแม้แต่โอกาสด้านการงานที่ดีขึ้น ซึ่งพวกเขาสามารถช่วยเหลือคุณได้แน่นอน เพราะเป็นคนคุ้นเคยกันนั่นเอง

3. ถ้าคุณต้องการ “เหลา” ความคิดเชิงธุรกิจให้แหลมคมมากยิ่งขึ้น

จริงอยู่ที่ว่าการเรียนรู้ในยุคนี้นั้นมันง่าย คุณสามารถเหลาความคิดเชิงธุรกิจให้แหลมคมได้ฟรีจากยูทูป หรือแม้แต่บทความในเพจเฟสบุ้คต่างๆ บางคนอาจจะบอกว่าไม่จำเป็น เพราะเรียนรู้ได้เอง แต่ผมขอบอกว่าคุณกำลังพลาดตัวเลือกที่เหนือกว่าจากการเรียนระดับ MBA ไปครับ เพราะการเรียนแบบ MBA นั้นมีการ “สังเคราะห์” เนื้อหาเชิงธุรกิจให้เป็น “หลักสูตร” เรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญคือสามารถวัดผลได้จากการสอบ งานโปรเจค ด้วยดัชนีชี้วัดที่เรียกว่า “คะแนนสอบ” นั่นเอง สิ่งเหล่านี้จะคอยทดสอบความรู้ความเข้าใจของคุณว่าอยู่ในระดับไหน ดีกว่าการคิดไปเองว่าคุณนั่นมีทักษะทางธุรกิจที่เจ๋ง ต่อให้เจ๋งยังไงแต่ก็เรียกว่าเป็นแบบ “มวยวัด” ซึ่งนอกจากจะใช้เวลาที่นานกว่า แถมยังไม่สามารถ “ถ่ายทอดความรู้” ให้แก่กันและกันได้ง่ายอีกด้วย เพราะไม่มีดัชนีวัดผลนั่นเองครับ 

4. ถ้าคุณต้องการเป็นนักธุรกิจที่สื่อสารด้วยความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

แก่นแท้ของการเป็นนักขายหรือนักธุรกิจชั้นสูงนั่นคือ “ทักษะการสื่อสาร” นั่นเองครับ โดยเฉพาะการค้าและการทำธุรกิจแบบ B2B (Business-to-Business) กับบุคคลระดับ C-Level ซึ่งต้องการความน่าเชื่อถือสูง ลูกค้าระดับนี้จะมองคุณตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมถึง “คำพูด” ที่คุณบ้วนออกมาในแต่ละคำด้วยครับ ซึ่งคงไม่ดีแน่ถ้าคุณมีความคิดที่เจ๋งแค่ไหน แต่มีทักษะการสื่อสารที่มองแล้วดู “เสร่อเฟอะฟะ” ความน่าเชื่อถือของคุณก็แทบจะหมดไปในทันที แถมยังไม่สามารถทำธุรกิจที่ก้าวข้ามความท้าทายหรือมูลค่าหลายสิบล้าน ร้อยล้าน ก็เป็นได้

การเข้าไปเรียนหลักสูตร MBA จะฝึกให้คุณมีความรู้ความเข้าใจด้วยภาษาเชิงธุรกิจขั้นสูง มีกระบวนการตั้งแต่การนำเสนอเชิงธุรกิจ การพูดด้วยทักษะเชิงธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ความรู้ความเข้าใจจากการเรียนจะทำให้คุณขมวดเป็นปมและเอาไปใช้สำหรับลูกค้าระดับสูงของคุณได้ คุณจะมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น สามารถพูดคุย “ด้วยภาษาเดียวกัน” กับลูกค้าระดับสูงของคุณได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็น “ต้นทุนชีวิต” ที่จะติดตัวคุณไปทั้งชีวิตนั่นเองครับ

#เหตุผลที่ไม่ควรเรียน

1. ถ้าคุณไม่มีเงินหรือเวลามากพอ (ฮา)

ตามนั้นครับ เงินยังไม่พอก็ยังไม่ต้องเรียน ยิ่งถ้าคุณมีภาระ เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ดูแลพ่อแม่ ลูกเมีย ฯลฯ การเรียน MBA กับสถาบันที่มีคุณภาพจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในระดับหนึ่ง ถ้าคุณมีเงินไม่มากพอ การลงเรียนอาจจะทำให้คุณขาด “สภาพคล่อง” ในการใช้เงินดำรงชีพได้ เพราะระหว่างเรียนนั้น คุณไม่ได้มีเงินเดือนเพิ่มขึ้นนะครับ อีกทั้งยังไม่ช่วยให้คุณขายของได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพราะลูกค้าคุณไม่ได้เข้าไปเรียนด้วย (ฮา)

นอกจากนี้คุณยังจะต้องสูญเสียเวลาส่วนตัว โดยเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และช่วงหลังเลิกงานไปกับการเรียน ถ้าคุณไม่แน่ใจว่ามีเวลาหรือแบ่งเวลาได้ไม่มากพอ การเรียน MBA จะกินเวลาชีวิตคุณไปอย่างมหาศาล ไลฟ์สไตล์ของคุณจะหายไปทันที คุณอาจจะมีปัญหากับแฟน กับทางบ้าน และกับตัวคุณเอง ซึ่งถ้าแบ่งเวลาไม่ดี บางทีอาจจะกระทบกับเวลาเรียนของคุณอีกด้วย ทำให้เริ่มขาดเรียน ส่งผลให้การเรียนไม่มีประสิทธิภาพ หลายคนที่ไม่แน่จริงก็ยอมดรอปเรียนหรือถูกรีไทร์ไปเลยก็มีครับ คงไม่ดีแน่ถ้าคุณเอาเงินไปลงเรียนแล้วตำน้ำพริก ละลายแม่น้ำ (ยิ้ม)

2. ถ้าคุณฝักใฝ่ในสร้างธุรกิจเพื่อสร้างเงินความมั่งคั่งเป็นเป้าหมายแรก

ผมได้พูดคุยกับนักธุรกิจชื่อดังหลายคน ซึ่งไม่เคยเรียนด้าน MBA มาก่อน ส่วนใหญ่ทุกคนจะเห็นตรงกันว่าการเรียน MBA นั้น ถ้าคุณอยากเป็น “คนรวย” เร็วๆ หรือยังไม่มีเงิน คุณต้องโฟกัสเรื่องการสร้างธุรกิจก่อน เพราะคุณสามารถเอาเวลาที่ไปเรียน MBA ซึ่งกินเวลาชีวิตคุณพอสมควร ไปใช้กับการขายและการหาลูกค้า นำเงินเข้ามาเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจจะดีกว่า เพราะอย่าลืมว่าถ้าคุณเลือกที่จะทำธุรกิจแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าใบปริญญาก็คือประสบการณ์ในการทำธุรกิจ คุณจะยอมเสียเวลาอันมีค่าไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าการเรียน MBA นั้นจะเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม

ตาคุณตัดสินใจแล้วครับว่าจะเรียนหรือไม่เรียน MBA ซึ่งความเห็นของผม การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ย่อมดีเสมอ ถ้ามีโอกาสเรียนแล้วตัวเองพร้อม จงอย่าลังเลที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เหล่านี้นะครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น