วิธีทำสไลด์นำเสนอให้เทพมากยิ่งขึ้น

สไลด์พรีเซนต์หรือสไลด์นำเสนอ (Sales Presentation) ถือว่าเป็นเครื่องมือหากินสำคัญของนักขายทุกรูปแบบ โดยเฉพาะนักขายแบบองค์กรที่ต้องแบกคอมพิวเตอร์พกพาเพื่อเอาไปเสียบต่อจอที่ห้องประชุมลูกค้าอยู่เป็นประจำ

เรียกได้ว่าการนำเสนอต่อหน้าลูกค้าทุกรูปแบบจะต้องเอาสไลด์มาเปิดให้ลูกค้าดูแทบทุกครั้งเลยก็ว่าได้ ที่สำคัญคือขั้นตอนการนำเสนอนั้นก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะที่ลูกค้ายอมตอบรับนัดคุณมาก็เพื่อรอดูและรอฟังสิ่งที่คุณเตรียมนำเสนอว่ามีความน่าสนใจมากแค่ไหนนี่แหละ ถึงขั้นทำให้ลูกค้าอยากซื้อและไม่อยากซื้อได้เลย

ดังนั้นคุณย่อมรู้ดีว่าข้อมูลสไลด์นำเสนอย่อมมีความสำคัญมากแค่ไหน พูดง่ายๆ คือถ้าทำออกมาได้ห่วย ไม่ได้เรื่อง ไม่น่าสนใจ โอกาสที่ลูกค้าไม่ซื้อย่อมมีสูงมากแน่ๆ ผมจึงมีวิธีเทพๆ ที่ทำให้สไลด์ของคุณดูน่าสนใจ น่าซื้อ และมีความเป็นมืออาชีพเพื่อเพิ่มโอกาสในการขายมากยิ่งขึ้นครับ

1. ทำสไลด์คร่าวๆ เกี่ยวกับงานวิจัยลูกค้าเบื้องต้นเพิ่มเข้าไปเสมอ

การยอมเสียเวลาค้นคว้าหาข้อมูลลูกค้าซักเล็กน้อย เพื่อเพิ่มข้อมูสไลด์นำเสนอเกี่ยวกับธุรกิจของลุกค้าจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับคุณแน่นอน จุดประสงค์คือการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุณได้ทำ “การบ้าน” เกี่ยวกับพวกเขาก่อนเข้ามานำเสนอ ซึ่งถ้าข้อมูลอาจจะไม่ตรงบ้างก็ไม่ต้องตกใจ บางทีลูกค้าเป็นฝ่ายเพิ่มข้อมูลให้คุณด้วยซ้ำ คุณควรทำสไลด์สรุปข้อมูลตามที่คุณวิจัยลูกค้าเบื้องต้น ดังนี้

– ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับธุรกิจของลูกค้า เช่น ลูกค้าทำธุรกิจอะไร ขายสินค้าอะไร คู่แข่งเป็นอย่างไร เป็นต้น

– ข้อมูลสภาพตลาดของธุรกิจลูกค้า เช่น ตัวเลขส่วนแบ่งตลาดระหว่างลูกค้ากับคู่เป็น เป็นต้น

– ข่าวสารทั้งข่าวดีและข่าวร้ายของลูกค้า เช่น ข่าวดีเรื่องการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ ข่าวร้ายเรื่องภัยธรรมชาติ

– ข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของลูกค้า 

– ฯลฯ

ซึ่งข้อมูลเหล่านี้หาได้ฟรีจากอินเทอร์เน็ตแถมยังใช้เวลาไม่นาน คุณจึงเอาข้อมูลเหล่านี้มาจัดใส่สไลด์นำเสนอเพื่อให้ลูกค้ามองเห็นว่าคุณมีความเข้าใจธุรกิจของพวกเขาในระดับหนึ่งครับ

2. ทำสไลด์ที่ปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย (Personalization)

เหมือนกับการตัดสูทที่สุด ไม่ใช่สูทที่แพงที่สุดในโลก แต่เป็นสูทที่ถูกตัดออกมาให้เข้ากับรูปร่างของคุณ (Tailor-Made) ซึ่งคุณเองก็มีคนเดียวบนโลกนี้ จึงทำให้สูทที่ได้เหมาะสมกับรูปร่างของคุณที่สุด การทำสไลด์นำเสนอก็เช่นกัน ถ้าคุณปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เช่น ลูกค้าเป็นบริษัทด้านการเงิน คุณจึงเพิ่มข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหาทางธุรกิจด้านการเงินที่พบบ่อย (Pain Poitnt) หรือมีข้อมูลนวัตกรรมสินค้าที่ช่วยให้ธุรกิจการเงินดีขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งคุณก็จะตัดสไลด์ที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจของลูกค้าการเงินออกไป ทำให้สไลด์ที่ได้มีความเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย อาจจะเพิ่มโลโก้ของลูกค้าเพื่อทำให้พวกเขาเห็นว่าคุณเตรียมตัวมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ

3. เน้นรูปหรือวีดีโอเคลื่อนไหวมากกว่าข้อความ

คนไทยส่วนใหญ่มีนิสัย “ยาวไปไม่อ่าน” จบนะครับ (ฮา) ถ้าสไลด์ของคุณเต็มไปด้วยตัวหนังสือ จงรื้อสไลด์ใหม่เดี๋ยวนี้เลยครับ เพราะตัวหนังสือมันน่าเบื่อ สไลด์หลายๆ บริษัทยังเป็นแบบนั้นอยู่เลย เชื่อผมมั้ยครับ จงเปลี่ยนจากตัวหนังสือเป็นตัวอย่างจริง เช่น มีไฟล์วีดีโอเคลื่อนไหวบรรยายสรรพคุณของสินค้าแทรกอยู่ในสไลด์ ซึ่งมีทั้งภาพและเสียงที่เพิ่มความน่าสนใจได้มากกว่า หรืออาจจะใช้รูปภาพประกอบอธิบายข้อมูลทางเทคนิคไปด้วยก็ได้ครับ

4. เพิ่มสไลด์ที่เกี่ยวกับการเล่าเรื่องให้ลูกค้าว้าว

การเล่าเรื่อง (Storytelling) ถือว่าเป็นหนึ่งในทักษะที่ช่วยให้ลูกค้าเชื่อถือและตัดสินใจซื้อคุณได้ง่ายยิ่งขึ้น การเล่าเรื่องจะไม่ยากเลยถ้าคุณเล่าความจริงและเป็นผู้เรื่องจริง ตัวอย่างของสไลด์เล่าเรื่องที่ดีและทำให้ลูกค้าสนใจ ควรเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับลูกค้ารายอื่นที่มีชื่อเสียง หรือเป็นเคสที่อย่าง หลักๆ ก็มีดังนี้ครับ

– กรณีศึกษาที่สำเร็จจากลูกค้าที่ผ่านมา (Case Study) เช่น เรื่องราวความสำเร็จของบริษัทลูกค้ารายอื่นที่มีธุรกิจใกล้เคียงกับลูกค้าที่สินค้าและบริการของคุณทำให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นได้อย่างไร เป็นต้น

– ข้อมูล ก่อน-หลัง (Before & After) เช่น เรื่องราวของลูกค้าก่อนซื้อสินค้าคุณ และหลังซื้อสินค้าคุณมีอะไรที่เปลี่ยนไป พร้อมรูปข้อมูลประกอบจริงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

– เรื่องราวความสำเร็จและรายชื่อลูกค้าที่ผ่านมา เช่น อาจจะมีโลโก้รายชื่อบริษัทที่เป็นลูกค้าคุณแล้ว คุณก็เหลือกหยิบเล่าปากเปล่าเอาก็ได้ครับ

5. เน้นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ

ควรมีหน้าสไลด์ที่สรุปประโยชน์ของสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับอย่างชัดเจน ที่สำคัญคือควรเอาไปไว้ในหน้าแรกๆ เพื่อเพิ่มความดึงดูดและความน่าสนใจจากลูกค้าให้มากขึ้น ที่สำคัญคือควรเอาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของบริษัท สินค้าที่ขาย บริการที่มี อะไรทำนองนี้ไปไว้หลังๆ เพราะบางทีลูกค้ายังไม่สนใจแล้วคุณเอาแต่เล่าประวัติอันยาวเหยียด หรือรายการสินค้าเยอะแยะ อาจทำให้เขาเกิดความเบื่อหน่ายก่อนที่จะเข้าเรื่องได้

6. ทำสไลด์ให้มีจำนวนหน้าที่กระชับ มีขนาดไฟล์ที่ไม่ใหญ่เกิดไป

สไลด์ที่ดีอาจมีข้อมูลเพียงแค่ 20-30 หน้าก็เพียงพอแล้ว มากกว่านี้เกรงว่าจะเสียเวลาและทำให้ลูกค้ารู้สึกเบื่อเสียก่อน ที่สำคัญคือเมื่อคุณแปลงไฟล์ให้เป็นแบบ .pdf จงตรวจสอบขนาดไฟล์ให้ดีไม่ให้เกิน 5MB เพราะเวลาคุณแนบไฟล์ส่งสไลด์นำเสนอไปที่เมลล์ของลูกค้า หลายๆ บริษัทไม่สามารถรับไฟล์ที่มีขนาดใหญ่กว่า 5MB ได้ ทำให้การส่งของคุณเสียเวลาเปล่านั่นเองครับ ผมจะไม่มองข้ามรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้เป็นอันขาด

และนี่คือเทคนิคการทำสไลด์ที่ทำให้เนื้องานของคุณดูมืออาชีพและเทพขึ้นเป็นกองเลยครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น