เทคนิคในการเป็นสุดยอดเซลล์ขายรถ

ผมเองเคยไปเป็นวิทยากรบรรยายให้กับแบรนด์รถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกเจ้าหนึ่ง โดยเฉพาะในส่วนของ “ทีมขาย” ซึ่งตอนนั้นเองผมออกตัวไปว่า “ไม่เคยมีประสบการณ์ในการขายรถมาก่อนในชีวิต” แต่ทางแบรนด์ก็ยังอยากให้ผมเป็นวิทยากรให้กับพวกเขาให้ได้

ผมจึงต้องใช้ประสบการณ์ในการขายแบบองค์กร (B2B: Business-to-Business) เข้ามาประยุกต์และปรับความคิดให้กับตัวเองว่าถ้าผมเป็นพนักงานขายรถ ผมจะทำอย่างไรถึงจะได้ยอดขายในระดับที่เรียกได้ว่า “เป็นท็อปเซลล์” ให้ได้ จึงต้องทำการบ้านอย่างหนัก โดยเฉพาะการศึกษาเทคนิคจากท็อปเซลล์ตัวจริงของวงการขายรถ

คำถามที่เกิดขึ้นในใจตอนนั้นคือ “มันจะเวิร์กรึปล่าวนะ?” “ผู้เรียนจะนำความรู้ไปใช้อย่างได้ผลรึปล่าว?” สุดท้ายก็ต้องลุยให้สุดตัว (เพราะเขาเชิญเรามาแล้ว ฮา) และก็ต้องทำให้ดีที่สุด

สุดท้ายผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับเป็นไปแบบ “เกินคาด” เพราะสิ่งที่ถ่ายทอดให้กับผู้เข้ารับการอบรมนั้น พวกเขาสามารถนำไปใช้จนได้ยอดขายเพิ่มขึ้น ถึงขนาดทำให้ศูนย์บริการสาขานั้นมียอดขายรถ “สูงที่สุด” และได้รับการตอบรับที่ดีเสมอมา

ผมเองในฐานะ “คนบ้ารถ” (Car Enthusiast) จึงขอแชร์เทคนิคในการขายรถอย่างได้ผล จากมุมมองของลูกค้าและพนักงานขายเพื่อให้คุณประสบความสำเร็จในเส้นทางสายยานยนต์ได้เป็นอย่างดีครับ

1. ให้การต้อนรับและบริการลูกค้าทุกระดับให้น่าประทับใจ

จงตัดเรื่องปัจจัยภายนอกของลูกค้าออกไปเลย ปัจจัยภายนอกก็คือ การแต่งกาย บุคลิก ภาพลักษณ์ต่างๆ ซึ่งเปรียบเสมือน “ภาพลวงตา” สำหรับเซลล์อ่อนหัดที่คิดไปเองว่าคนที่มีปัญญาซื้อรถ โดยเฉพาะรถหรูนั้นจะต้องเป็นคนแต่งตัวดี ถือกระเป๋าแบรนด์เนม ใส่นาฬิกาหรู ฯลฯ อะไรทำนองนี้ เพราะคุณไม่รู้หรอกว่าคนที่เดินมาดูรถหรือด้อมๆ มองๆ รถอยู่นั้น เขาอาจจะแต่งตัวบ้านๆ ดูไม่มีเงิน แต่จริงๆ แล้วเขาอาจจะมีเงินมากกว่าคนที่แต่งตัวดีและ “มีความต้องการซื้อ” อยู่ในใจลึกๆ ก็ได้ สิ่งที่คุณควรทำคือการเข้าไปบริการพวกเขาด้วยความเป็นกันเอง 

แม้แต่เด็กนักศึกษาหรืออาแปะแก่ๆ ที่ดูทรงแล้ว พวกเขาอาจจะไม่มีปัญญาซื้อแหงๆ คุณก็ต้องบริการพวกเขาด้วยมาตรฐานเดียวกันกับการบริการลูกค้าเศรษฐีที่ซื้อรถคุณไปแล้ว พวกเขาเหล่านี้ไม่มีเงินและไม่มีอำนาจตัดสินใจซื้อก็จริง แต่อย่าลืมว่าพวกเขายังมี “พ่อแม่” ที่มีเงินและพร้อมซื้อหลังจากได้รับ “เสียงรบเร้า” จากพวกเขา ผลก็คือคุณอาจจะได้ลูกค้าโดยหวังผลไปที่การคุยกับพ่อแม่ที่มีอำนาจตัดสินใจ ส่วนคุณลูกก็จะกลายเป็น “ป๋าดัน” กระตุ้นให้เกิดการซื้อได้เร็วขึ้น เทคนิคนี้คุณสามารถเอาไปใช้กับคู่ “สามีภรรยา” ที่มีผลทั้งการเป็นป๋าดันและผู้มีอำนาจตัดสินใจด้วยนั่นเอง

2. เน้นไปที่การถามคำถามเพื่อนำเสนอรถที่ตรงความต้องการของผู้ซื้อ

สิ่งที่ควรทำต่อมาไม่ใช่การนั่งท่องจำโบรชัวร์หรือสเปครถจนแม่นยำ และคิดไปเองว่าการนำเสนอข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ไม่ผิดพลาดคือสิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรก ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นคือลูกค้าอาจไม่มีความสนใจข้อมูลของคุณเลยก็ได้ ทำให้เสียเวลาและเกิดความรู้สึกน่ารำคาญจากมุมมองของลูกค้า เผลอๆ ลูกค้ามีความรู้ดีกว่าพวกคุณเสียอีก เพราะพวกเขาสามารถ “ทำการบ้าน” จากข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก่อนออกจากบ้านมาดูรถคุณแล้วล่ะครับ บางทีการยัดเยียดข้อมูลให้อาจจะทำให้คุณ “ถูกบลัฟ” จากลูกค้าด้วยรถแบรนด์อื่นที่เหนือกว่าคุณ กลายเป็นเสียบรรยากาศในการขายไปเสียอีก

สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือ “การถามคำถาม” แบบง่ายๆ ที่ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร เช่น ขอสอบถามความต้องการของลูกค้าเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของรถยนต์ว่าจะนำไปใช้งานอะไรบ้าง เพื่อให้คุณสามารถเลือกนำเสนอรถที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด และมีตัวเลือกให้ลูกค้าประมาณ 2-3 รุ่น คำถามง่ายๆ แบบนี้จะทำให้ลูกค้า “คายความต้องการ” ของพวกเขาออกมา เช่น พวกเขามองรถสำหรับครอบครัว รถยนต์ประเภท SUV หรือ PPV อาจจะตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาเป็นต้น การถามคำถามยังทำให้เกิด “ประโยชน์ทางอ้อม” นั่นคือการสร้างความจดจำระหว่างคุณกับลูกค้า ทำให้ลูกค้าไม่ลืมคุณ เวลาพวกเขาพร้อมซื้อก็จะนึกถึงคุณเป็นอันดับแรก

3. กฎทองของการขายรถคือ “การติดตามงาน” 

เนื่องจากรถยนต์เป็นสินค้ามูลค่าสูง ไม่ว่าจะเป็นรถหรูระดับเบนซ์หรือรถอีโค่คาร์ก็ตาม เป็นไปได้อย่างมากว่าลูกค้าที่มาดูรถตามงานออกบูทในห้างหรือตามงานมอเตอร์โชว์ อาจจะยังไม่ตัดสินใจซื้อในการพบหน้ากันเป็นครั้งแรก จงจำกฎทองข้อนี้ไว้ให้ดีนะครับ ลูกค้าที่ซื้อคุณตั้งแต่วันแรกแบบเจอหน้าแล้วจองเลย ผมขอให้พวกคุณคิดเสมอนะครับว่าอาจจะ “ฟลุ้ก” เช่น ลูกค้ามองดูรถรุ่นนี้ไว้นานแล้ว มีเงินพร้อมซื้อพอดี เดินมาเจอคุณและชอบการนำเสนอกับโปรโมชั่นของคุณ จึงตัดสินใจซื้อ ซึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาจำเซลล์คนเก่าที่แนะนำรถให้พวกเขาไม่ได้ หรือแม้แต่ไม่ชอบขี้หน้าเซลล์คนก่อนหน้านี้เพราะไม่เคยตามงานหรือบริการพวกเขาไม่ดีก็เป็นได้

การติดตามงานที่มีประสิทธิภาพคือ “กุญแจสำคัญ” สำหรับการทำให้ลูกค้าที่เข้ามาสอบถามเรื่องรถของคุณในครั้งแรกเกิดความต้องการซื้อจนตัดสินใจซื้อรถกับคุณ สิ่งที่คุณควรทำคือการขอชื่อและเบอร์โทรติดต่อลูกค้าทุกคนเสมอ การมอบนามบัตรให้พวกเขาอย่างเดียวอาจจะไม่เวิร์กเสมอป เพราะคุณจะไม่ได้เบอร์โทรพวกเขาในการติดตามงาน สิ่งที่คุณควรมีเพิ่มเติมคือ “รายงานการขาย” ที่ควรบันทึกข้อมูลลูกค้าเก่าและใหม่ก่อนเลิกงานทุกครั้ง เพื่อให้คุณมี “ขุมทรัพย์” สำหรับการประเมินความเป็นไปได้ รวมถึงสามารถวางแผนการติดตามงานได้ดีขึ้น

4. วิธีการติดตามงานเพื่อให้ลูกค้าซื้้อรถกับคุณ

เมื่อคุณทราบกฎทองของการขายรถเรียบร้อยแล้ว รายงานการขายคือสิ่งที่คุณต้องทำต่อมา ช่วงที่เจอลูกค้าครั้งแรก คำถามที่ควรถามคือ “ช่วงซื้อ” ของลูกค้าว่ามีความต้องการช่วงไหน เพื่อบันทึกลงในรายงานการขายและวางแผนติดตามงานลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น

ลูกค้ามีความต้องการซื้อรถภายใน 2 เดือน

การวางแผนการติดตามงาน: ตามงานเฉลี่ยสองสัปดาห์ต่อครั้ง ด้วยการโทรหาหรือเชิญมาลองรถเพื่อปิดการขาย

การตามงานที่ดีไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้อง “โทรจิก” ลูกค้าทุกวันและถามว่าจะซื้อเมื่อไหร่ เพราะการตามงานแบบนั้นจะทำให้ลูกค้ารู้สึกรำคาญมากกว่า เทคนิคการตามงานที่ดีคือการโทรไปตามวันที่วางแผนแบบมีระยะห่าง เช่น สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ด้วยบทสนทนาที่ทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจได้มากขึ้นด้วย เช่น มีโปรโมชั่นพิเศษในช่วงระยะเวลานี้ มีงานออกบูท มีงานทดสอบขับรถฟรี เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้ประโยชน์จากการโทรมาหาพวกเขาของคุณ กุญแจของเรื่องนี้คือการเพิ่มความน่าจดจำตัวคุณและกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความต้องการซื้อมากขึ้น

5. ใช้เทคโนโลยีอย่างไลน์เพื่อช่วยในการติดตามงานเพิ่มเติม

ยุคนี้เป็นยุคไอทีที่คนทั้งประเทศใช้ไลน์หรือเฟซบุ้คในการสื่อสาร ไม่ผิดอะไรที่จะขอแอดไลน์เป็นเพื่อนกับลูกค้า นี่คือเครื่องมือชั้นเยี่ยมในการติดต่อสื่อสารและ “ติดตามงาน” กับลูกค้า คุณสามารถใช้ไลน์ในการอัพเดทข้อมูลพร้อมกับ “รูปภาพ” ตามที่คุณทราบความต้องการจากลูกค้าเรียบร้อยแล้ว เช่น ลูกค้าต้องการรถยนต์สีแดง ซึ่งไม่ได้มีสีนี้บ่อยนัก ต้องรอรถ คุณสามารถส่งรูปภาพไป “ยั่ว” พวกเขา เช่น รถสีแดงที่ลูกค้าชอบและต้องการมาแล้วนะครับ เป็นต้น หรือแม้แต่โปรโมชั่นดีๆ เช่น จองรถช่วงนี้แถมทอง 2 บาท ฯลฯ โดยคุณส่งไปเป็นรูปรถพร้อมตัวหนังสือเจ๋งๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถกระตุ้นความต้องการและเพิ่มความน่าจดจำตัวคุณมากขึ้น เผลอๆ ลูกค้าจะรีบมาซื้อเลย

6. เทคนิคในการปิดการขาย

การเจอหน้าลูกค้า เช่น งานออกบูทหรืองานมอเตอร์โชว์ ลูกค้ามักจะยังไม่ตัดสินใจซื้อเพราะยังรู้สึก “ลังเล” ถึงอารมณ์และความรู้สึกในการขับขี่ คุณจึงต้องเป็นผู้สร้างความรู้สึก อารมณ์ และการรับรู้ที่ดีเพื่อดันลูกค้าไปจนถึงการตัดสินใจซื้อด้วยการ “เชิญลูกค้ามาลองรถ” ให้จงได้ เมื่อลูกค้าตอบรับนัดและลองรถกับคุณ จงพูดคุยและถามคำถามไปเรื่อยๆ ระหว่างนั่งอยู่ในรถของพวกเขา จงพูดแต่มุมมองเชิงบวก อย่าบลัฟรถค่ายคู่แข่ง ถ้าลูกค้ายอมรับว่ารถที่ขับเป็นรถที่ดี มีความรู้สึกดีๆ คุณจะมีโอกาสปิดการขายได้สูงมาก ค่ายรถยนต์บางค่ายทุ่มทุนสร้างถึงขั้นส่งรถให้ลูกค้าไปลองถึงที่ได้ฟรี นี่ก็เป็นอีกไม้เด็ดที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วมาก

เมื่อลองรถเสร็จแล้ว จงเริ่มเปิดฉากการคุยเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ได้เลย เตรียมการบ้านเรื่องค่างวด ค่าใช้จ่าย และโปรโมชั่นของแถมต่างๆ ให้เสร็จสรรพ ค่อยๆ คายข้อเสนอดีๆ ออกมาเรื่อยๆ อย่าพึ่งเปิดไพ่หมดทุกใบ บางทีข้อเสนอสุดท้ายเช่น ของแถม ประกันภัยชั้น 1 เคลือบแก้วฟรี ชุดแต่ง ฯลฯ อาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่มัดใจให้พวกเขาตัดสินใจซื้อ การให้ลูกค้าลองรถก่อนที่จะคุยเรื่องผลประโยชน์เป็นผลลัพธ์เชิงจิตวิทยาอย่างหนึ่งเพราะพวกเขาจะเกิดความเกรงใจ ลองมาจนสุดและรู้สึกชอบแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ซื้อกับคุณ คุณจึงมีสิทธิได้ยอดขายสูงมาก

เทคนิคเพิ่มเติม

Scarcity (ยิ่งน้อย…ยิ่งมีค่า)

เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่ได้ผลดีนักแล เช่น ลูกค้าพูดออกมาว่าชอบรุ่นนี้ สีนี้ ราคานี้ คุณควรใช้ Scarcity ในการเร่งให้ลูกค้าซื้อด้วยเงื่อนไขของเวลา จำนวนสินค้า หรือช่วงหมดโปรโมชั่น เช่น

“..รุ่นนี้เป็นรุ่นยอดนิยม เหลือเพียง 3 คันสุดท้ายในศูนย์ฯ ครับ สะดวกจองรถก่อนเพื่อรักษาประโยชน์ของลูกค้าในการได้มีรถใช้ทันช่วงเวลาที่ต้องการมั้ยครับ?..”

“..โปรโมชั่นพิเศษจำกัดสิทธิ์ถึงช่วงสิ้นเดือนนี้เท่านั้นครับ จึงขอแนะนำทางเลือกในการรักษาสิทธิ์ด้วยการจองรถเอาไว้ก่อนมั้ยครับ ถ้าไม่สะดวกรับรถช่วงนั้นจริงๆ เรายินดีคืนเงินจองให้ 100% ครับ..”

Success Story (เล่าเรื่องความสำเร็จ)

เรื่องนี้ก็ควรเล่าให้ลูกค้าฟังเป็นเหตุผลประกอบว่าทำไมลูกค้ารายอื่นถึงซื้อรถกับคุณ ซื้อศูนย์ฯ คุณ เป็นช็อตที่คุณโม้ได้มากที่สุด ควรมีไหวพริบในการเล่าเรื่อง เช่น คุณถามลูกค้าเกี่ยวกับงานที่เค้าทำ สมมติลูกค้าเป็นหมอ คุณก็เล่าเรื่องคุณหมอลูกค้าเก่าคุณที่เคยซื้อกับคุณ ยิ่งถ้าเป็นคุณหมอคนเด่นคนดังด้วยยิ่งดี พูดให้ชัดเจนว่าทำไมลูกค้ารายอื่นถึงมาซื้อกับคุณ ศูนย์คุณ ถ้าเป็นนักธุรกิจ พนักงานบริษัท ข้าราชการ ฯลฯ ก็ควรเล่าเรื่องด้วยการหยิบเคสของลูกค้าเก่า (จะเป็นของคุณหรือของเซลล์คนอื่นก็ได้) เอามาเล่าให้เพิ่มความน่าเชื่อถือ ยิ่งเป็นคนดังยิ่งดี

Special Offer (สิทธิพิเศษ)

ไพ่ใบสุดท้ายในการปิดการขายให้ได้ คือการเปิดไพ่เกี่ยวกับข้อเสนอพิเศษ เช่น ส่วนลด เงินดาวน์ใหม่ อาชีพพิเศษ ของแถมสำคัญ (เช่น ประกันชั้น 1 ฟิล์มกรองแสง ชุดแต่ง) อะไรที่ใช้ได้และเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าสูงสุด จงนำเสนอให้อย่างไม่มีกั้ก อย่าพยายามกั้กข้อเสนอมากเกินไป เพราะนอกจากจะไม่ได้ยอดขายแล้วแถมยังทำให้ลูกค้ารู้สึก ‘โง่’ อีกด้วย อย่าลืมนะครับว่ายุคนี้ศูนย์บริการมีเยอะมาก ข้อเสนอเต็มโซเชี่ยล ถ้าคุณมัวแต่หมกเม็ดแล้วลูกค้าได้ข้อเสนอที่ดีกว่าจากเซลล์ศูนย์อื่น พวกเขาจะเดินหนีจากคุณไปในทันที 

7. เข้าร่วมกลุ่มรถต่างๆ ในเครือข่ายสังคมออนไลน์

เฟซบุ้คในยุคนี้จะมีคลับของรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ แทบทุกแบรนด์ คุณสามารถใช้เทคนิคง่ายๆ แม้อยู่นอกเวลางานได้ด้วยการเข้าไป “สิง” อยู่ในคลับรถที่คุณขาย แต่ห้ามออกตัว “ฮาร์ดเซลล์” ไปประกาศขายรถในคลับเป็นอันขาด ไม่งั้นคุณจะถูกเตะและแบนออกจากกลุ่มได้ (ฮา) จงเข้าไปรับฟังและอ่านเรื่องราวที่คนทั่วไปโพสต์แบบเนียนๆ จะมีบางคนที่คอมเมนต์แบบมีความต้องการซื้อรถเรื่อยๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น จงแอดไปเป็นเพื่อนกับพวกเขา แนะนำตัวและทักทายอย่างสุภาพใน Inbox ได้เลย คุณจะได้ลีด (Lead) เพิ่มขึ้นและมีโอกาสขายรถได้เพิ่มขึ้นแบบง่ายๆ

8. ขายได้แล้ว ก็ไม่ควรหายหัวไปไหน มีปัญหาต้องรีบช่วยเหลือและแก้ไข

คงรู้ๆ กันอยู่ว่าการแก้ปัญหา คือการวัดว่าใครคือนักขายมืออาชีพที่แท้จริง เรื่องรถเป็นเรื่องที่ดราม่าในพันทิปเยอะมากๆ สาเหตุเกิดจากการแก้ปัญหาโดยเซลล์และทีมงานที่ห่วยนั่นเอง คุณจงอย่าเป็นคนประเภทนั้นนะครับ แก้ปัญหาให้ไวและสุดความสามารถจะส่งผลดีต่อการขายของคุณในระยะยาว นั่นคือลูกค้าจะไว้ใจคุณมากขึ้นและแนะนำคนรู้จักให้มาซื้อกับคุณ

ยอดขายระยะยาวโดยที่คุณไม่ต้องออกแรงมากนั่นคือลูกค้าแนะนำคนอื่นให้มาซื้อกับคุณนั่นเอง คุณจงสร้างความเป็นมืออาชีพต่อพวกเขาเอาไว้ให้นานที่สุด เช่น โทรหรือไลน์ไปถามความพึงพอใจในการใช้งาน หรืออัพเดทข้อมูลใหม่ๆ เป็นประจำทุกเดือนหรือ 3 เดือน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกค้าไว้ใจคุณมากขึ้นและส่งผลถึงการบอกต่อให้คนอื่นมาซื้อกับคุณ ตัวเลขจะไหลเข้ากระเป๋าคุณโดยไม่ขาด เซลล์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยทำเรื่องนี้ ดังนั้นคุณจงเป็นคนส่วนน้อยเอาไว้นะครับ คุณจะกลายเป็นนักขายขั้นเทพได้แน่นอน

9. เตรียมนามบัตรไว้ให้พร้อมเสมอ พกติดตัวตลอดเวลา แจกทุกคนที่เจอหน้า

นามบัตร เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ได้เอาไว้ใช้แจกเฉพาะในเวลางาน แต่คุณยังสามารถเอาไว้แจกคนรอบข้าง เพื่อนของเพื่อน คนรู้จักของคนใกล้ตัวคุณ แม้แต่คนที่พึ่งเคยคุยด้วยก็สามารถแจกได้

เวลาแนะนำตัวก็บอกสิ่งที่คุณทำให้ชัดเจน โดยบอกถึงข้อดีของตัวคุณเพิ่มอีกนิดหน่อยเพื่อให้คนอื่นจำคุณให้ได้ ตัวอย่างเช่น “..สวัสดีครับ ผมเอก เป็นเซลล์ของเบนซ์ทองหล่อ (ยื่นนามบัตร) ซึ่งผมเป็นที่ปรึกษาด้านรถยนต์และเชี่ยวชาญเรื่องการแนะนำรถให้เหมาะกับบุคลิกของคุณครับ (ประโยชน์ที่มอบให้คนอื่น) ยินดีที่ได้รู้จักครับ..” 

แจกให้เยอะๆ แนะนำตัวให้หล่อๆ ดูดี เพื่อแลกนามบัตร คุณก็จะได้ลีดเพิ่มแบบง่ายๆ แล้ว แถมเอาไว้ใช้เผื่อฟลุ้กเวลาลูกค้าอยากได้รถขึ้นมา หรือแนะนำให้คนอื่นมาซื้อกับคุณครับ

**พิเศษ – เทคนิคการขายเวลาไปออกบู๊ทตามห้างหรือมอเตอร์โชว์

1. คิดเสมอว่าลูกค้ามีตังทุกคน ไม่ต้องสนว่าจะเสียเวลาเมื่อคุยกับลูกค้าที่ไม่มีตังจริงๆ 

2. ถ้าลูกค้าเดินมาจับ ด้อมๆ มองๆ เข้าไปลองนั่ง ให้รีบเข้าประชิดตัวเพื่อแนะนำตัวทันที อย่าให้เซลล์ศูนย์คู่แข่งชิงตัดหน้าเราไป ไม่งั้นเสียโอกาสเอาเงินเข้ากระเป๋า

3. อย่ามัวแต่สุมหัวคุยเจ้าะแจ๊ะระหว่างกลุ่มเซลล์ด้วยกัน หรือมัวแต่สไลด์มือถือ ลูกค้าเขามองหาเซลล์แต่ดันเห็นพวกคุณยืนจับกลุ่มคุยกัน ลูกค้าจะรู้สึกเป็นลบทันที 

4. อย่าให้ลูกค้าต้องเป็นฝ่ายมองหาคุณ แต่เป็นคุณที่เป็นฝ่ายมองหาลูกค้าต่างหาก

5. อย่ากินน้ำเยอะเกินไป เพราะจะทำให้ต้องไปฉี่บ่อย เสียโอกาสในการขาย 

6. ถ้าลูกค้าต้องการส่วนลดแบบสุดๆ จงเรียกเจ้านายมาช่วยเปิดไพ่ทันที ไม่ต้องรอ ตัวเจ้านายเองก็ไม่ควรทำท่ายะโสโอหังให้มากนัก ควรลงมือช่วยลูกน้องอย่างจริงใจ

7. ถ้านัดลูกค้ามาที่งานได้ เชิญมาได้ จงปิดการขายให้ได้ อย่าปล่อยให้พวกเขาหลุดมือเป็นอันขาด

8. แจกนามบัตรให้มากที่สุด เตรียมมาเป็นตับเลยยิ่งดี ให้เอามาซัก 500 ใบ อย่างต่ำ 

9. แลกไลน์กับลูกค้าทุกคน เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดต่อกับลีด ส่งโปรโมชั่น ตามงานเรื่อยๆ ห้ามพลาดเด็ดขาด เซลล์ขายรถมือสมัครเล่นมักลืมข้อนี้เสมอ ง่ายๆ ไม่ทำ ดันทำให้มันยากขึ้นเอง

วงการรถยนต์คือวงการที่มีผลประโยชน์มหาศาล การขายรถยนต์เองก็เช่นกัน สร้างความมั่งคั่งให้นักขายและกลายไปเป็นเถ้าแก่เกี่ยวกับรถยนต์มาเยอะแล้ว ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะกลายเป็นหนึ่งในนั้นครับ 

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น