แบ่งปันประสบการณ์ในวันแรกของการเรียนที่ศศินทร์จากเซลล์ร้อยล้าน

ผมถือว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่มีไลฟ์สไตล์แบบ “คนสู้ชีวิต” (From rags to riches) คือทางบ้านไม่รวยมาก่อน เรียกว่าจนเลยก็ยังได้ คุณแม่ส่งเสียให้เรียนได้ตามกำลังที่มี ทำให้ชีวิตการศึกษาของผมก็อยู่ในระดับมาตรฐาน ตั้งใจเรียนจนสอบเข้ามหาลัยรัฐได้ และคิดว่าเรียนจบป.ตรี ก็คงหางานดีๆ ทำ ที่เหลือค่อยว่ากันอีกที

ผมจึงเป็นคนที่เมื่อก่อนมีความรู้สึก “อิจฉา” เพื่อนร่วมรุ่นบางคนที่ทางบ้านพอมีทุนทรัพย์และได้มีโอกาสไปเรียนเมืองนอก เพราะลึกๆ แล้วผมเองก็เป็นคนอยากเรียนโรงเรียนดังเพราะผลการเรียนดี แต่ทางบ้านไม่สามารถส่งได้

ผมเองรู้ดีอยู่แล้วว่าการศึกษานั้นมันสามารถสร้างคนคนนึงให้กลายเป็นผู้นำและประสบความสำเร็จทั้งๆ ที่บ้านไม่รวยได้ การศึกษาเป็นวิธีเดียวที่ดึงคนระดับล่างให้กลายเป็นคนระดับสูงด้วยสมองและสองมือล้วนๆ ทำให้เมื่อผมมีโอกาสหาเงินจำนวนมากได้แล้ว ผมจึงไม่ยอมทิ้งโอกาสที่จะ “ลงทุนกับตัวเอง” ให้หลุดลอยไปอีกครั้ง

จึงนับว่าเป็นก้าวสำคัญของชีวิตผมกันเลยทีเดียวครับสำหรับการเรียนต่อปริญญาโทหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตการจัดการ (Executive-MBA) สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในขณะนี้ ผมได้รับคัดเลือกและกลายเป็นนิสิตปริญญาโทคนใหม่ของสถาบันเรียบร้อยแล้ว (ตื่นเต้นมากๆ) 

ผมจึงอยากแชร์ประสบการณ์ในช่วงสัปดาห์แรกของการเรียนที่ศศินทร์มาฝากทุกท่านกันครับ รับรองว่าคุณจะร้องเลยว่าทำไมสถาบันแห่งนี้ถึงเป็นสถาบันทางด้านธุรกิจอันดับหนึ่งของประเทศ และนี่คือของฝากสำหรับทุกคนครับ

1. ได้เจอเพื่อนร่วมรุ่นที่สุดยอด

ต้องขอบอกว่าที่นี่คือสถาบันอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง ระบบคัดคนของศศินทร์จึงมีความพิถีพิถันเป็นพิเศษ และไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะสามารถเรียนได้ อย่างแรกเลยก็คือการคัดคนด้วยค่าเล่าเรียนหลัก 2 ล้าน (ฮา) ก็อย่างที่พูดนั่นแหละครับ หลักสูตรนี้จึงเป็นหลักสูตรที่แพงที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ดังนั้นคนที่เข้ามาเรียนที่นี่ได้ นอกจากจะต้องมีความรู้ดีเลิศโดยเฉพาะด้านภาษา มีประสบการณ์การทำงานระดับมืออาชีพเกิน 8 ปีขึ้นไป ที่สำคัญคือ “ต้องมีเงิน” ถึงจะเรียนได้ ไม่ว่าจะจากทุนพม. (พ่อแม่) หรือทุนของตัวเองก็ตามที เพื่อนร่วมรุ่นของผมจึงมีตั้งแต่ทายาทธุรกิจระดับประเทศ ไปจนถึงผู้บริหารขององค์กรยักษ์ใหญ่มืออาชีพ ของจริงทั้งนั้นครับ ผมนี่ตัวเท่ามดเลย (ยิ้ม)

2. ได้พบกับรุ่นพี่ระดับสุดยอด

“รุ่นพี่” คือสิ่งที่ช่วยการันตีความสำเร็จของการปั้นคนในแต่ละสถาบันนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี ถ้าคุณอยากรู้ว่าเรียนหลักสูตรที่ไหนแล้วจะรวยไหม หรือประสบความสำเร็จแค่ไหน วิธีการง่ายๆ ก็คือดูศิษย์เก่านั่นแหละครับ ซึ่งที่ศศินทร์ก็ต้องขอบอกเลยว่า “ตัวท็อป” ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่หรือแม่แต่รุ่นพี่จากภาคการศึกษา 2018 (ของผม 2019) นอกจากพื้นฐานกับประวัติการทำงานของพวกเขาที่อยู่ในระดับผู้บริหารกับเจ้าของกิจการแทบทั้งหมด “ทักษะด้านภาษา” ก็เป็นอีกดัชนีชี้วัดระดับคนของที่นี่เป็นอย่างดี ซึ่งรุ่นพี่แต่ละคนได้ใช้ทักษะภาษาอังกฤษระดับสูงในการสื่อสารแบบมืออาชีพแทบทั้งหมด

3. ได้รับกิจกรรมละลายพฤติกรรมที่ยอดเยี่ยม

ถ้าคุณเป็นคอหนังสไตล์วัยรุ่นอเมริกันที่เกี่ยวกับชีวิตมหาวิทยาลัย ตัวอย่างเช่นหนังเรื่อง “เดอะ โซเชี่ยล เน็ตเวิร์ก” (The Social Network) ที่เป็นชีวิตของมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ้คตั้งแต่ในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด (Harvard University) ชีวิตมหาลัยระดับโลกแบบฮาวาร์ดก็ไม่ต่างอะไรจากพี่ไทยของเราครับ กิจกรรมรับน้องละลายพฤติกรรมง่ายๆ เลยก็คือการปาร์ตี้กินเหล้านั่นเอง (ฮา) ซึ่งความเจ๋งก็คือคุณจะต้องควบคุมตัวเองให้ไม่หลุดหรือไม่รั่วจนเกินไป ตับกับใจต้องพร้อมในการกินเหล้าแบบยกหมดแก้ว แถมยังมีเกมสนุกๆ เพื่อทำให้ทุกคนเกิดการจดจำและสนิทกันมากยิ่งขึ้นอีกด้วย จากที่มัวแต่นั่งเก๊กใส่กันก็กลายเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกอดคอกันได้เลย

4. ได้ฟังสุดยอดคนระดับชาติในการแบ่งปันความรู้ก็คุ้มแล้ว

สัปดาห์แรกของการเรียนเป็นช่วงที่เรียกว่า “Leadership Week” ซึ่งมีการบรรยายความรู้จากประสบการณ์ด้านธุรกิจของศิษย์เก่าและแขกรับเชิญมากมาย หลายๆ ท่านที่ถูกรับเชิญให้ขึ้นพูดเป็นนักธุรกิจระดับชาติทั้งนั้น ผมได้เรียนรู้หัวข้อเกี่ยวกับธุรกิจที่น่าสนใจ เช่น การคิดเชิงนวัตกรรม การคิดแบบเป็นระบบ การทำธุรกิจที่ยั่งยืน การปรับตัวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ เป็นต้น กลายเป็นว่าวันนี้เองผมถึงขั้นได้ไอเดียในการทำธุรกิจสตาร์ทอัพที่มองเห็นความเป็นไปได้ตั้งแต่ต้นจนจบเลยล่ะครับ ผมรู้เลยว่าเรียนที่นี่เผลอๆ ผมจะทำธุรกิจได้อีกมากแน่นอนครับ

5. ได้เป็นนิสิตจุฬาฯ เรียบร้อยแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต

ผมเองเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนคนหนึ่งและเคยมีความฝันตอนมอปลายว่าอยากสอบเข้าจุฬาฯ ให้ได้ ซึ่งมันก็ไกลเกินเอื้อมและความฝันก็ไม่เคยเป็นจริง ผมจึงนับถือคนที่จบจากจุฬาฯ มากเป็นพิเศษ (รวมถึงที่อื่นด้วยนะครับ) เนื่องจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยร่วมงานกับเด็กจุฬาฯ จนถึงปัจจุบันก็มีลูกทีมเป็นเด็กจุฬาฯ อยู่เยอะมาก เนื้องานของพวกเขามีความละเอียด แม่นยำ รวดเร็ว ที่สำคัญคือกล้านำเสนอ กล้าพรีเซนต์ ทำได้เฉียบขาดมาก ขอบอกเลยว่าคนที่มักอิจฉาเพื่อนร่วมงานว่าทำงานดีแต่พรีเซนต์ไม่ดีสู้คนพรีเซนต์ดีแต่ทำงานไม่ดีไม่ได้ คำคำนี้คุณไม่สามารถใช้กับพวกเขาได้ครับ เพราะพวกเขาเก่งครบเครื่องมากๆ ผมจึงได้โอกาสแห่งชีวิตในการเรียนจากสถาบันอันดับหนึ่งของประเทศ และผมจะทำให้สำเร็จให้ได้ครับ

นี่คือประสบการณ์อันยอดเยี่ยมที่จะทำให้เซลล์ร้อยล้านได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาธุรกิจของประเทศไทยด้วยความรู้ระดับสุดยอดของประเทศไปพร้อมๆ กันครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น