6 เหตุผลที่เทคโนโลยี AI ยังไม่สามารถแทนที่นักขายขั้นเทพเช่นคุณ

 

ช่วงนี้ผมอ่านข่าวเกี่ยวกับการปิดตัวลงของโรงงานหลายแห่ง ทำให้ใครหลายๆ คนตกงานกันเป็นทิวแถว นับว่าเป็นข่าวร้ายที่คนทำงานไม่อยากได้ยิน ยิ่งปัจจุบันมีโซเชี่ยลมีเดีย ทำให้ข่าวร้ายทำนองนี้ถูกเผยแพร่จนทำให้คุณอาจจิตตกไปเลยก็ได้ จริงๆ แล้วเหตุผลสำคัญคือเทคโนโลยีเช่นเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ได้เข้ามาแทนคนต่างหาก

 

หนำซ้ำในยุคนี้เป็นยุคดิจิทัลแทบจะ 100% ไม่ว่าคุณจะกิน นั่ง เดิน นอน ขี้ โดนเจ้านายด่า ฯลฯ (ฮา) คุณก็ยังก้มหน้าก้มตาเล่นมือถืออยู่เลยครับ มันได้เปลี่ยนธุรกิจบนโลกนี้แทบจะสิ้นเชิง เช่น ธุรกิจธนาคารที่คุณแทบจะไปธนาคารเพื่อฝากเงินหรือถอนเงินแทบจะนับครั้งได้ ธุรกิจรถแท็กซี่ที่ไม่ต้องยืนโบกอีกต่อไป เป็นต้น 

 

ที่สำคัญมันได้ลามมาถึงโลกแห่งการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ โดยเฉพาะการขายแบบออนไลน์ที่การสั่งซื้อหลายๆ อย่างแทบไม่ต้องมีนักขายที่เป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ คุณสามารถทำได้ด้วยตนเองตั้งแต่การดูสินค้า สั่งซื้อ ไปจนถึงโอนเงินเพื่อรองรับสินค้า บริษัทระดับโลกที่ขายแบบ B2B เช่น Salesforce, Amazon ก็สามารถสั่งซื้อโซลูชั่นจากพวกเขาได้แบบออนไลน์โดยแทบไม่ต้องคุณเลยด้วยซ้ำ

 

แล้วอีหรอบนี้จะทำให้ชีวิตนักขายแบบชาวเราต้องตกงานไหม ยิ่งในยุคนี้มีคำว่า AI เข้ามาขายแทนคนได้แล้ว จงอย่าพึ่งตกใจไปนะครับ มาดูกันว่าทำไมระบบอัจฉริยะพวกนี้ถึงยังแทนที่นักขายขั้นเทพจากผมกันครับ

1. AI ไม่มี Emphaty: คอมพิวเตอร์ไม่มีวันเข้าใจและเห็นอกเห็นใจความรู้สึกของลูกค้า

 

เพราะ AI ไม่มีหัวใจอันดีงามเช่นคุณ ความเห็นอกเห็นใจ (Emphaty) คือหนึ่งในสุดยอดการพิชิตใจลูกค้าและได้รับความน่าเชื่อถือจากคนด้วยกัน ซึ่งคอมพิวเตอร์คงทำได้เพียงแค่ฮาร์ดเซลล์หรือขายตามระบบโดยที่ไม่เข้าใจว่าลูกค้ารู้สึกเสี่ยงหรือกังวลใจมากแค่ไหน ตัวแปรที่เกี่ยวกับคนนั้นมีผลต่อการซื้อขายมากครับ

 

2. Content Creation: การสร้างและการเล่าเรื่องราวโดยเฉพาะกรณีศึกษา

 

คนเท่านั้นที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการเล่าเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องราวแห่งความสำเร็จจากลูกค้ารายอื่นเพื่อให้ลูกค้าปัจจุบันเกิดความน่าเชื่อถือจนตัดสินใจซื้อ ไหวพริบและทักษะการเล่าจากคนสู่คนของมนุษย์คือสิ่งที่ AI ไม่มีวันเลียนแบบได้

 

3. Robot can’t manage robot: หุ่นยนต์หรือ AI บริหารหุ่นยนต์ด้วยกันไม่ได้ ต้องเป็นคนเท่านั้นที่คิดและบริหารหุ่นยนต์

 

AI หรือโปรแกรมขายต่างๆ มันจะทำงานตามที่มนุษย์ตั้งโปรแกรมให้มันเท่านั้น ยิ่งลูกค้ามีสิ่งที่แตกต่างกันแบบร้อยพ่อพันแม่ ธุรกิจก็ไม่เหมือนกัน เป็นไปแทบไม่ได้เลยว่าหุ่นยนต์หรือ AI จะสามารถบริหารโปรแกรมให้มีความสมบูรณ์ไร้ที่ติกับลูกค้าแต่ละคน ยังไงก็ต้องพึ่งพามนุษย์อยู่ดี

 

4. Communication: การสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกของ AI นั้นไม่สามารถทำได้แบบธรรมชาติ

 

สีหน้า แววตา น้ำเสียง บุคลิกภาพ คือภาษากายและภาษาพูดที่ผลวิจัยจากสถาบันชั้นนำ (ศศินทร์) บอกว่ามนุษย์เราจะเชื่อมั่นสิ่งที่คู่สนทนาพูดถึง 92% ถ้าเห็นพร้อมกันทั้งสีหน้า แววตา น้ำเสียง บุคลิก แต่ AI นั้นคือ 8% ที่เหลือก็คือมันไม่ฉลาดพอที่จะแสดงสีหน้า แววตา น้ำเสียงแบบธรรมชาติได้ ทำให้ยังไงการขายระหว่างมนุษย์ด้วยกันโดยเฉพาะโครงการหลักแสน หลักล้าน ต้องถูกขายด้วยคนด้วยกันเท่านั้น

 

5. Strategy: หุ่นยนต์หรือ AI ไม่สามารถคิดกลยุทธเพื่อเอาชนะในสงครามธุรกิจ ต้องอาศัยคน

 

เอาแค่ธุรกิจ B2B ที่ต้องนัดลูกค้าตำแหน่งใหญ่โตกว่าคนที่คุยอยู่ก็ถือว่าเป็นกลยุทธสำคัญในการขายแล้วล่ะครับ เพียงแต่ตำแหน่งใหญ่โตบางทีก็ต้องอาศัยคอนเนคชั่น ซึ่งคำว่าคอนเนคชั่นมันต้องเกิดขึ้นระหว่างมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น คงไม่มีลูกค้าคนไหนไปเป็นเพื่อนกับหุ่นยนต์หรือคอมพิวเตอร์หรอกนะครับ (ฮา)

 

6. Creativity: ความคิดสร้างสรรค์ยังต้องอาศัยคนและ AI ยังทำงานส่วนนี้ไม่ได้

 

ใครที่ทำงานอาร์ทหรืองานด้านการตลาดคงยิ้มอ่อนเพราะว่าหุ่นยนต์หรือ AI มันคิดเองไม่ได้ว่าควรจะสร้างสรรค์งานหรือตัดต่อวีดีโอให้แจ๋วโดนใจลูกค้าได้เท่ามนุษย์แน่นอน มันทำได้เพียงแค่รับใช้มนุษย์ในฐานะเครื่องมือที่ทำให้คนทำงานง่ายขึ้นเท่านั้น

นี่คือเหตุผลจากผมที่ AI ไม่สามารถทดแทนงานของคุณได้แน่นอน เว้นเสียแต่ว่าคุณมีคุณสมบัติ 6 อย่างนี้ห่วยกว่า AI ถ้าเป็นแบบนั้นก็เตรียมตกงานกันได้เลยนะครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น