วิธีทำให้ลูกน้องรักคุณอย่างแยบคาย

การทำงานในระดับกลางและระดับสูง ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของกิจการทั่วๆ ไปที่กำลังเติบโต หรือแม้แต่พนักงานบริษัทที่ถูกโปรโมทขึ้นมานั่งแท่นในระดับผู้จัดการ คุณย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ คุณไม่สามารถลงมือทำได้ด้วยตัวคนเดียว การทำงานเป็นทีมย่อมหมายถึงการเข้าใกล้ความสำเร็จที่เร็วกว่า โดยเฉพาะเรื่องธุรกิจ

เมื่อมีคำว่าทีมขึ้นมา และคุณเองเป็นผู้จัดการทีมที่คุณสร้างขึ้นด้วยการจ้างพวกเขา หรือถูกมอบหมายให้ดูแลทีมงานที่มีอยู่แทนนายจ้าง ทักษะการทำงานในสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญอย่างเดียวคงไม่พอ แต่ทักษะในการ “บริหารคน” ย่อมเป็นสิ่งที่มีความหมายยิ่งกว่า

เปรียบได้กับเล่าปี่ที่ไม่ได้มีความสามารถในการรบมากมายเหนือตำนานนักรบหรือกุนซือคนอื่นมากมายนัก แต่เขาสามารถบริหารนักรบมากฝีมือเหล่านั้นได้อย่างเฉียบแหลม เป็นผู้ปกครองที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี มีพี่น้องร่วมสาบานคนสำคัญอย่าง “กวนอู” ซึ่งรบเก่งมากๆ เป็นตัวอย่างของเจ้านายที่ลูกน้องรักและเทิดทูนจนได้กลายเป็นใหญ่ในตำนาน ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกิดมาในตระกูลนักรบหรือชนชั้นสูง แต่ก็สามารถเป็น 1 ใน 3 ของแผ่นดินได้

หมายความว่าการมีลูกน้องที่ดีและบริหารความสัมพันธ์ให้พวกเขารักคุณ เทิดทูนคุณ ย่อมมีความสำคัญมากกว่าการที่คุณเป็นผู้จัดการที่ขายเก่งหรือทำงานเก่งเสียอีก ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าลูกน้องที่เก่งกว่ารักและยอมอุทิศตัวเพื่อทำงานกับคุณ คุณย่อมไปสู่จุดที่ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว แถมยังทำงานง่ายขึ้นอีกต่างหาก

มาดูวิธีการทำให้ลูกน้องรักและศรัทธาคุณกันเลยครับ

1. หลีกเลี่ยงหรือห้ามใช้คำหยาบกับลูกน้องแม้แต่คำเดียว

เป็นการใช้สกิลปากอย่างถูกต้องและสุภาพ จงหลีกเลี่ยงการใช้คำหยาบ การแซวแบบปัญญาอ่อนแรงๆ แม้แต่คำว่า “กู มึง” ก็ใช้ไม่ได้ ต่อให้คุณอยากจะมีความเป็นกันเองกับลูกน้องมากแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณต้องการได้ใจลูกน้องที่มีต้นทุนทางสังคมสูง หรือลูกน้องที่เก่งกาจและเป็นมืออาชีพ พวกเขาจะรับไม่ค่อยได้กับคำหยาบคายหรือ “ปากหมาๆ” ของคุณเด็ดขาด ต่อให้รับฟังต่อหน้าและยิ้ม แต่ลับหลังพวกเขาย่อมไม่พอใจแน่นอน แถมยังตัดสินคุณได้ด้วยว่าคุณมันก็แค่เจ้านายระดับธรรมดาๆ คนนึง ความเจ้ายศเจ้าอย่างในตัวคุณอาจทำให้คุณไม่รู้ตัว ท้ายที่สุดลูกน้องก็จะเลิกหนุนคุณและไม่ได้อยากรับรู้หรือสนับสนุนคุณซักเท่าไหร่

2. สื่อสารกับลูกน้องในเรื่องงานภายในเวลางานเท่านั้น

ยุคนี้เป็นยุคที่คนเรามักต้องการสมดุลชีวิตกับการทำงาน (Work Life-Balance) ซึ่งยุคให้การทำงานแบบ “หามรุ่งหามค่ำ” คงค่อยๆ หมดไปเรื่อยๆ ในสังคมปัจจุบันนี้ ยิ่งยุคนี้มีบริษัทสมัยใหม่หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบการจัดการแบบมืออาชีพ โดยเฉพาะบริษัทสตาร์ทอัพ ที่ให้ความสำคัญกับเวลาการทำงานและสมดุลชีวิตของพนักงานเป็นสำคัญ การสื่อสาร สั่งงานลูกน้องนอกเวลางาน เช่น ช่วงเช้าตรู่ หรือช่วงหลัง 6 โมงเย็น คงไม่ใช่อะไรที่คุณสามารถทำได้แบบปกติอีกแล้ว นอกจากลูกน้องจะรู้สึกรำคาญและไม่อยากแม้แต่จะรับสายหรือเปิดไลน์มาดูข้อความของคุณ คุณยังมีสิทธิ์ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้จัดการที่แย่และบริหารเวลาการทำงานไม่ได้เรื่องนั่นเอง

3. รักษาคำพูดอยู่เสมอ

ยิ่งคุณเป็นใหญ่ คำพูดคุณยิ่งศักดิ์สิทธิ์ การรับปากมั่วซั่วและทำไม่ได้ เช่น รับปากว่าจะช่วยลูกน้องแต่ก็ลืม รับปากว่าจะพิจารณางานสำคัญให้แต่ก็จำไม่ได้ หรือแม้แต่การลืมอ่านอีเมลล์ที่ลูกน้องลูปอีเมลล์ (CC) คุณและคุณก็ไม่ได้อ่าน เป็นต้น เรื่องแบบนี้ไม่สามารถปล่อยปละละเลยได้เลย เพราะมันหมายถึง “ความไม่ใส่ใจ” ของคุณ และเมื่อคุณจำไม่ได้ คุณก็จะเริ่มโวยวายหรือตีโพยตีพายว่าคุณได้พูดแบบนี้จริงๆ เหรอ ลูกน้องจะเจ็บและจำ จากนั้นก็จะหมดความเชื่อใจต่อคุณไปเรื่อยๆ เลวร้ายกว่านั้นก็ถึงขั้นลาออกได้เลย ถ้าเป็นคนขี้ลืมก็ควรจดบันทึกหรือให้ลูกน้องช่วยส่งข้อมูลแบบมี “ลายลักษณ์อักษร” เช่นไลน์ หรืออีเมลล์ เพื่อช่วยเตือนความจำอีกทางก็ได้

4. สอบถามความรู้สึกของลูกนี้ที่มีต่อคุณแบบเปิดใจ

คุณเคยไหมที่จะถามลูกน้องไปตรงๆ และให้พวกเขาบอกคุณแบบไม่อ้อมค้อมว่ารู้สึกยังไงเมื่อทำงานกับคุณ เชื่อเถอะว่าเจ้านายหลายๆ คนไม่เคยถามเลย กลัวที่จะรับความจริงไม่ได้ การออกตลาดและทำงานด้วยกันจะทำให้คุณมีเวลาส่วนตัวกับลูกน้องมากขึ้น คุณสามารถถามพวกเขาไปตรงๆ ได้เลยว่าโอเคกับการทำงานกับคุณไหม มีสิ่งไหนที่ไม่ชอบหรืออยากให้ปรับปรุง เพื่อที่คุณจะได้เป็นเจ้านายที่ดีขึ้น พวกเขาทำงานได้อย่างมีความสุขมากขึ้น คำพูดจากลูกน้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการประเมินตัวเองว่าควรปรับปรุงจุดไหน หรือสิ่งใดที่ทำให้ลูกน้องรู้สึกดีกับคุณ คุณจะได้รักษาความดีนั้นไว้ พร้อมกับเป็นสิ่งที่ชื่นใจในการทำงานระดับผู้จัดการ

5. ให้ความเห็นเรื่องความสามารถของทีมงานด้วยความจริงใจ

เมื่อคุณอยู่กับลูกน้องอย่างมีเวลา คุณสามารถบอกความเห็นเชิงแนะนำในเรื่องของการทำงานหรือด้านอื่นๆ ได้ เช่น ข้อเสนอแนะเรื่องการทำงาน การวางตัว การแก้ปัญหา การชมเชย ฯลฯ ถ้าเป็นเรื่องเชิงบวก คุณควรพูดต่อหน้าเขาและทีมงาน เช่น การชมเชยเรื่องความสามารถ การกระทำที่ดี ฯลฯ ส่วนเรื่องเชิงลบ คุณควร “ปิดห้องคุย” หรืออยู่กับเขาแบบสองต่อสอง อย่าพูดเรื่องลบๆ ทั้งๆ ที่ลูกน้องทำผิดจริงต่อหน้าคนอื่นโดยเด็ดขาด เพราะเรื่องแบบนี้จะหมายถึง “การหักหน้า” ลูกน้องของคุณต่อหน้าคนอื่น และทำให้พวกเขาเสียหน้าอย่างแรงจนเกลียดคุณ

6. แสดงให้เห็นถึงการทำงานแบบมืออาชีพ

นิสัยใจคอที่ดีนับเป็นเรื่องที่ดี แต่จะดีกว่านี้ไปอีกถ้าลูกน้องยอมรับเรื่องความสามารถในการทำงานของคุณ ถ้าคุณเป็นมือโปรก่อนถูกดึงเป็นผู้จัดการ คุณคงไม่ค่อยมีปัญหามากนักเมื่อต้องแสดงฝีมือต่อหน้าลูกน้อง เช่น การขายต่อหน้าลูกค้าที่ยากและเขี้ยว โดยมีลูกน้องเป็นผู้สังเกตการณ์ ถ้าคุณทำสำเร็จ ลูกน้องย่อมยอมรับนับถือฝีมือคุณมากยิ่งขึ้นแบบไม่ต้องพูดเยอะ นอกจากนี้คุณควรเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งเรื่องการทำงานให้ตรงเวลา มาตามเวลานัด ไม่ขี้เกียจหรืออู้งานจนลูกน้องสังเกตได้

7. จงตัดสินผลการทำงานของลูกน้องด้วยข้อมูล ไม่ใช่ความรู้สึกหรืออารมณ์

มีบ้างที่คุณเกิด “อารมณ์พิศวาส” (ฮา) กับลูกน้องที่พูดจาดี หน้าตาดี นิสัยดี คุณจึงเริ่มเทใจให้พวกเขาแบบ “รักไม่เท่ากัน” หรือถูกเลียจนหัวแม่ตีนระบมโดยลูกน้องผู้ลิ้นยาว เอาใจเก่ง จนทำให้คุณมองข้ามผลการทำงานที่แท้จริงของพวกเขา นี่คือการตัดสินคนคนหนึ่งด้วยอารมณ์และความรู้สึก ทีมจะพังเอาได้เพราะคนอื่นรู้สึกว่าคุณไม่แฟร์ คุณควรวัดผลการทำงานจากกิจกรรมที่สามารถวัดผลได้ เช่น จำนวนครั้งที่โทร เข้าพบลูกค้า ติดตามงาน ตัวเลข ฯลฯ คนที่ทำได้ดีและมีความสม่ำเสมอย่อมเป็นคนที่ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมตามตัวเลขในข้อมูล ส่วนคนที่เอาแต่เลียอย่างเดียวแต่การทำงานที่วัดผลเป็นตัวเลขไม่ได้เรื่องย่อมเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องต่อไป

8. พยายามอยู่ให้ห่างเรื่องดราม่าภายในองค์กร

เจ้านายที่ดีคือคนที่วางตัวอยู่เหนือดราม่า ไม่ว่าลูกน้องจะสุมหัวหรือกำลังเกลียดกัน ก่อม็อบการเมืองด้วยกันเอง คุณต้องอยู่เหนือกว่านั้นและวางตัวเป็นกลาง เจ้านายที่ห่วยจะเริ่มลงไปคลุกดินโคลนกับลูกน้องโดยโอนเอียงไปทางลูกน้องที่ตัวเองชื่นชอบ จากนั้นก็กลายเป็นคนที่ร่วมวงนินทากับคู่กรณีไปซะงั้น งานของคุณคือทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จนะครับ ไม่ใช้เข้าไปผสมโรงก่อเรื่องดราม่า ถ้ารู้ว่ามีดราม่าและมีความขัดแย้งภายในทีม จงลงไปเคลียร์ปัญหาแบบเป็นกลางให้ทุกอย่างจบลงโดยเร็วที่สุด

9. จงคิดเสมอว่าพวกเขาอย่างทำงานให้ดีขึ้นและจงช่วยเขาให้ประสบความสำเร็จ

ใครก็ตามที่อยู่ในโลกแห่งการทำงาน พวกเขาย่อมอยากก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ เจ้านายสมัยก่อนจะมีความคิดที่ห่วย เช่น ไม่อยากให้ลูกน้องเก่งมากนักเพราะกลัวพวกเขาแย่งเก้าอี้ จึงกดหัวหรือข่มลูกน้องอยู่เสมอ แต่ยุคนี้มันใช้ไม่ได้แล้ว ลูกน้องที่เก่งกาจย่อมอยากประสบความสำเร็จ คุณต้องถามตัวเองและลงมือทำว่าจะทำอย่างไรถึงจะพาพวกเขาประสบความสำเร็จได้โดยเร็ว อย่าลืมนะครับว่าเวลาลูกน้องประสบความสำเร็จ ตัวคุณเองก็จะประสบความสำเร็จตามไปด้วยเช่นกัน

10. ปฎิบัติกับพวกเขาด้วยความจริงใจและตั้งอยู่ในอารมณ์ที่ดีเสมอ

แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เช่น ลูกน้องของคุณทำเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง (ยกเว้นเรื่องทุจริต ทะเลาะเบาะแว้ง โกงกินบริษัท) คุณก็ไม่สามารถปั้นหน้ายักษ์ด่ากูมึงได้ การแสดงสีหน้าด้วยอารมณ์โกรธ เครียด ย่อมไม่มีประโยชน์และทำให้ลูกน้องหวาดกลัวคุณ ต่อให้พวกเขาทำดีลพันล้านล่ม คุณก็ด่าด้วยอารมณ์โกรธไม่ได้ครับ คุณเคยเห็นผู้จัดการทีมฟุตบอลพุ่งเข้าไปด่าลูกน้องเวลายิงจุดโทษพลาดมั้ยล่ะครับ ความเสียหายเยอะกว่าคุณแบบเทียบกันไม่ได้เลย การปฎิบัติกับลูกน้องด้วยการเป็นผู้นำที่แท้จริง ตั้งอยู่ในอารมณ์ที่ดีจะทำให้พวกเขารู้สึกศรัทธาคุณเสมอ

นี่ก็คือวิธีคิดและวิธีลงมือทำสำหรับการเป็นหัวหน้างานหรือผู้จัดการที่ลูกน้องรักครับ ขอบอกเลยว่าพูดง่าย แต่ทำได้ไม่ได้นั้นขึ้นอยู่กับตัวคุณเองล้วนๆ เลย 

Leave your vote

-3 points
Upvote Downvote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น