เป็นนักขาย…จงอย่าคิดเพียงแค่ทำงานไปวันๆ

 หัวข้อวันนี้มาแบบแรง ชัด จัดเต็ม ผมเคยผ่านการเป็นลูกจ้างตำแหน่งเซลล์แมนที่ทำงานตามที่นายจ้างได้ตั้งกติกาไว้ให้ เมื่อบรรลุเป้าหมาย ได้เงินเดือน ได้ค่าคอมฯ มาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือได้เงินเข้ากระเป๋าตอนสิ้นเดือน เดือนถัดไปก็กลับมาว่ากันใหม่ตามเป้าที่ได้รับ วนลูปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ 

เมื่อเริ่มถึงจุดที่ลูกค้ามีการซื้อซ้ำ ได้ยอดขายตามเป้า ดูแลลูกค้าหน้าเดิมๆ ทุกวัน ถึงแม้ว่ายอดขายจะดีอยู่แล้ว แต่ผมกลับพบข้อเสียอันใหญ่หลวงนั่นคือผมเริ่ม “หมดความท้าทาย” ไม่หาลูกค้าใหม่ คาดหวังกับเป้าหมายของตัวเองอย่างเดียวคือขอให้ “ได้เงินเพิ่มขึ้น ทำงานน้อยลง” แค่นั้น

ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์แบบผม ถึงแม้ว่าเงินเดือนคุณจะดี ค่าคอมฯ ได้ตามเป้า แต่ตัวคุณเองก็จะตกอยู่ในสภาพ “Comfort Zone” ซึ่งแปลว่าอยู่ในจุดที่ไม่เสี่ยง ผมไม่ได้บอกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีนะครับ แต่เจ้าคอมฟอร์ท โซน นี่แหละครับที่จะส่งผลกับความก้าวหน้าของคุณอย่างใหญ่หลวงในอนาคต

อาการ “Comfort Zone Syndrome” เบื้องต้นนี้จะทำให้คุณรู้สึกไม่อยากเสี่ยงอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว อาจเป็นเพราะคุณเริ่มมีหน้าที่การงานที่ดี เริ่มมีครอบครัว มีลูก มีบ้าน มีรถ มีภาระต่างๆ ที่คุณสามารถรับผิดชอบได้ แต่ถ้าคุณมีข้อเสนอเรื่องงานเข้ามา คุณจะเริ่มรู้สึกว่ามันกลายเป็นความเสี่ยง เพราะคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่างานใหม่หรือตำแหน่งใหม่ๆ นั้นจะทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้น มั่นคงขึ้นแค่ไหน

แล้วถ้าคุณย้ายงานหรือเลื่อนตำแหน่ง คุณกลับโชคร้าย เจอทีมงานที่ไม่ดีเท่าทีเดิมล่ะ? ลูกค้าขายยากขึ้นล่ะ? สภาพแวดล้อมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วล่ะ? กลายเป็นว่าคุณทำงานได้แย่กว่าเดิม เลวร้ายที่สุดคือโดนไล่ออก ภาระที่คุณต้องแบกรับไว้บนบ่า คุณจะรับผิดชอบไหวหรือครับ? คุณจะเริ่มคิดมากและมีอาการนี้ขึ้นมาทันที อาการนี้แหละครับที่ทำให้คุณไม่ก้าวหน้าไปกว่าเดิม ทำให้คุณพลาดโอกาสสำคัญๆ ในชีวิตไป โดยเฉพาะเรื่องงานหรือธุรกิจ

ไม่ผิดที่คุณจะคิดแบบนั้น แต่ในเมื่อพวกคุณเป็นนักขายกันอยู่แล้ว ชีวิตของคุณพบกับความเสี่ยงมากมาย สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้คุณแข็งแกร่ง ถ้าคุณเป็นมืออาชีพ คุณต้องคิดเสมอครับว่าคุณคือนักบอลตำแหน่งกองหน้าที่ไม่ว่าจะลงเล่นทีมไหนคุณก็ยิงประตูเป็นกอบเป็นกำแบบโรนัลโด้ได้ทุกสนาม

….ผมเกริ่นมายาวมากตามสไตล์อีกแล้ว (ยิ้ม..) เพราะผมเองอยากมอบแนวคิด “การเป็นเจ้าของกิจการ (Entrepreneurship)” ให้กับคุณทุกคนครับ….

คุณเชื่อผมมั้ยครับว่าอาชีพนักขาย เป็นตำราเรียนรู้ที่ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย เป็นของจริงที่ทำให้คุณขยับตัวเองจาก “หมาล่าเนื้อ” ให้กับคนอื่น (เพราะยิ่งคุณขายดีเท่าไหร่ เจ้าของบริษัทคุณจะรวยกว่าคุณมากกว่า 10 เท่า 100 เท่า) มาเป็น “เจ้าของกิจการ” ที่สามารถทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จได้เหมือนกับนายจ้างของคุณตอนนี้ได้ครับ

จงอย่าทำงานเป็นนักขายเพียงแค่เงินเดือนและค่าคอมฯ ที่เพิ่มขึ้นไปวันๆ แต่จงใช้ชีวิตเยี่ยงนักธุรกิจที่ใช้ทักษะการขายและประสบการณ์ในการทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ที่สุดของนักขายก็คือการนำทักษะจากการขายที่ได้มาใช้ทำธุรกิจด้วยตนเอง ผมอยากให้คุณได้ลิ้มรสความรู้สึกนั้นบ้างครับ เพราะมันช่างหอมหวานจริงๆ มาฟังเคล็ดลับจากผมต่อได้เลยครับ

1) คิดให้ยาวว่างานของคุณจะทำให้คุณทำธุรกิจอะไรได้บ้าง

คุณเป็นนักขายสินค้าของเจ้านายอยู่แล้ว สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือจงคิดและมองธุรกิจของเจ้านายคุณให้ออกว่าสิ่งที่คุณได้มาจากธุรกิจนี้มีอะไรบ้าง เช่น กลุ่มเป้าหมาย คู่แข่ง ลูกค้า คอนเน็กชั่น พาร์ทเนอร์ มูลค่าตลาด แน้วโน้มการเติบโต ถดถอย ประโยชน์ของสินค้า ระบบการขาย ฯลฯ สิ่งที่คุณเรียนรู้จากงานที่คุณทำ ณ ปัจจุบัน สามารถทำให้คุณต่อยอดในการทำธุรกิจอะไรได้บ้าง 

คุณเรียนรู้จากงานตรงนั้นมาให้ละเอียด ประเมินความเสี่ยงและโอกาสให้รอบคอบ ถ้าคุณออกมาทำธุรกิจ รับงานด้วยตนเอง ขายเอง สิ่งเหล่านั้นจะทำให้คุณเริ่มต้นทำธุรกิจได้ใกล้เคียงกับคำว่ามืออาชีพมากที่สุดแล้ว เหมือนกับคุณชกมวยเป็น ไม่ได้ทำแบบมวยวัด เพราะคุณมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจที่คุณมีประสบการณ์อยู่แล้วอย่างทะลุปรุโปร่ง สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้นไปอีก

2) ข่าวดีคือสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายๆ ด้วยการจับเสือมือเปล่า

จริงๆ แล้วการที่คุณเป็นนักขายให้กับบริษัทฯ ของคุณ มองอีกมุมนึงก็คล้ายๆ กับการ “จับเสือมือเปล่า” นะ นั่นเป็นเพราะคุณมาแต่ตัวกับรถคุณอีกหนึ่งคัน นายคุณมีสินค้ามาให้คุณขายทันที ลงทุนให้คุณทุกอย่าง การตลาดก็ทำให้ เทรนงานให้ เงินเดือนก็ให้ ค่าน้้ำมันก็ให้ แถมยังมีค่าคอมฯ ให้อีก ถามจริงๆ ว่าคุณมีอะไรจะเสียบ้างครับ? แถมคุณได้เรียนรู้ทักษะเหล่านี้จากการทำงานประจำทุกวันอีกด้วย

สิ่งที่ผมจะบอกคือการทำธุรกิจง่ายๆ ในช่วงเริ่มต้นก็คือการรับ “เป็นนายหน้า” ให้กับธุรกิจอื่นๆ แบบ B2B หรือ B2C ที่คุณสนใจ และคุณสามารถขายได้ครับ อย่างเช่นนายหน้าธุรกิจการเงิน อสังหาฯ ซอฟท์แวร์ ไอที โฆษณา การตลาด ฯลฯ จงติดต่อ คุยเรื่องผลประโยชน์และทำสัญญาให้เรียบร้อย เลือกสิ่งที่ดีและง่าย สอดคล้องกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณ

เมื่อคุณทำยอดได้จากการเป็นนายหน้าแล้ว สิ่งที่คุณได้ต่อมาคือค่าตอบแทน ในเมื่อคุณเจ้านายอีกต่อไปแล้ว ทำงานด้วยตัวเอง “ตัวเลข” จะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณมีอำนาจในการต่อรองผลประโยชน์ ยิ่งคุณมีเจ้าสิ่งนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ผลประโยชน์กับคอนเน็กชั่นจะไหลมาเทมาหาคุณอย่างไม่ขาดสายเลยล่ะครับ

3) การขายเป็นเสาหลักในการค้ำจุ้นธุรกิจใหม่ของคุณ

ในการทำงานแบบองค์กร ทุกหน่วยงานมีความสำคัญ แต่คงปฎิเสธไม่ได้ว่า “งานขาย” คือเสาหลักที่สำคัญที่สุดในการค้ำจุนธุรกิจ ถ้าไม่มียอดขาย ขายไม่ได้ ก็จะขาดเงินหล่อเลี้ยงธุรกิจ หน่วยงานอื่นๆ ก็จะอยู่ไม่ได้จนบริษัทฯ ต้องเจ๊งไปในที่สุด

เพราะฉะนั้นการขายจึงเป็นสิ่งแรกที่คุณควรทำและทำได้ทันที ไม่ต้องรอให้มีหน่วยงานอื่นเข้ามาสนับสนุน คุณสามารถใช้ทักษะการขายที่คุณมีจากการทำงานประจำได้ทันทีตั้งแต่การโทรทำนัดหาลูกค้าใหม่ การนำเสนอ การตามงาน การต่อรองเจรจา ไปจนถึงการปิดการขาย สิ่งนี้จะเป็นสิ่งแรกที่นำรายได้เข้าบริษัทของคุณมาได้

เมื่อได้รายได้เข้ามาแล้ว จงวางแผนให้ดีและนำผลกำไรที่ได้มาใช้ในการพัฒนาธุรกิจให้โตขึ้น เช่นการจ้างทีมงานเพิ่ม ซื้อสินค้าใหม่เพื่อนำไปขายต่อ เป็นต้น เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าของกิจการเคยผ่านมาทั้งนั้น บางที่ไม่มีลูกน้องแม้แต่รายเดียว คุณควรสัมผัสและเข้าไปลิ้มรสเรื่องเหล่านี้ให้มากๆ มันจะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้เหมือนเจ้านายคุณ ซึ่งคุณก็จะรวยและรวยมากกว่าพวกเขา

4) นักธุรกิจชื่อดังล้วนผ่านการเป็น “เซลล์แมน” มาก่อน

ถ้าคุณยังไม่เชื่อว่าตัวคุณจะทำได้มั้ย ผมรบกวนให้คุณลองอ่านประวัติสุดยอดนักธุรกิจของไทย เอาแบบที่เสื่อผืนหมอนใบมาก่อน บ้านไม่รวย นามสกุลไม่ดังจะดีมาก คุณจะได้เรียนรู้เลยว่าชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นกว่าจะประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ล้วนผ่าน “อาชีพนักขาย” มาก่อนทั้งนั้น เช่น คุณตัน อิชิตัน เจ้าสัวเจริญ (เบียร์ช้าง) เจ้าของตลาดนัดรถไฟ เจ้าของบริษัท J.I.B นักธุรกิจในรายการอายุน้อยร้อยร้าน หลายๆ ท่าน เป็นต้น

ในเมื่อมีคนทำได้แล้ว ทำไมคุณเองจะทำไม่ได้ล่ะครับ ต่อให้คุณทำไม่ได้อย่างพวกเค้า ถึงแม้ว่าคุณทำได้เพียงแค่เศษเสี้ยวของพวกเขาเหล่านั้น แต่รู้ไหมครับว่าเศษเสี้ยวเล็กๆ ที่ว่านี้จะทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลยล่ะครับ ขอเพียงแค่เชื่อมั่นและลงมือทำให้ต่อเนื่อง มีวินัย พัฒนาตัวเองตลอดเวลาอยู่เสมอ

ผมเป็นคนมองอะไรยาวๆ และผมก็เชื่อว่าหลายๆ ท่านที่ติดตามเพจของผมอยู่นี้ล้วนมีจิตวิญญานของการเป็นเจ้าของกิจการอยู่ในตัว อยากเป็นนักธุรกิจ อยากรวย อยากประสบความสำเร็จ ไม่งั้นแล้วพวกคุณคงไม่เลือกทำอาชีพ “นักขาย” หรอกครับ จริงไหม? (ยิ้ม)

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น