วิธีสร้าง Sales Playbook ขององค์กรท่านเอง เพื่อให้นักขายทำงานมาตรฐานเดียวกัน
Sales Playbook หรือภาษาชาวบ้านก็คือ ‘ตำรานักขาย’ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ถ้าคุณได้เป็นนักขายของบริษัทข้ามชาติ หรือองค์กรมหาชนที่มีมาตรฐานในการฝึกอบรมพนักงานมากๆ ให้คุณลองนึกถึงพนักงาน Starbucks หรือพวกโรงแรม 5 ดาวนะครับว่าพวกเขาทำอย่างไรถึง ‘หล่อหลอม’ พนักงานที่มาจากเบื้องหลังแบบ ‘ร้อยพ่อพันแม่’ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ถ้าองค์กรของท่านโดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่กำลังโตสามารถสร้าง Sales Playbook แบบ Tailormade ให้กับองค์กรของตัวเองได้ องค์กรของท่านจะเปรียบเสมือนโรงงานผลิตเครื่องจักรล่าเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ครับ
1. ทำไมถึงต้องสร้าง Sales Playbook
– ลดเวลาฝึกอบรมพนักงานขายใหม่
– นักขายสามารถปิดยอดขายได้เพิ่มขึ้น
– นักขายสามารถดูแล รักษา และขายเพิ่มลูกค้าปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น
– นักขายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
2. ผู้ที่มีส่วนร่วมในการสร้าง Sales Playbook และการรวบรวมข้อมูลก่อนสร้าง
– นักขายมือทองของบริษัท รวมถึงเจ้าของบริษัทและมือท็อปจากแผนกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานขาย
– ที่ปรึกษาด้านการขายหรือวิทยากรภายนอกองค์กร
– ข้อมูลด้านการขายสำคัญที่วิเคราะห์ออกมาแล้ว เช่น ข้อมูลลูกค้าจาก CRM, ประวัติการซื้อขายที่ผ่านมา เหตุผลที่ปิดการขายได้หรือล้มเหลว เป็นต้น
– การวิจัยปัญหาที่พบบ่อย ข้อโต้แย้ง หรือวิธีการขายและวิธีการรับมือต่างๆ ที่นักขายมักจะทำกัน
3. ภาพรวมเกี่ยวกับธุรกิจเบื้องต้นเพื่อให้นักขายเข้าใจได้ตรงกัน
– วิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์กร: เป็นเป้าหมายใหญ่ของบริษัทที่จะก้าวไปให้ถึงและทีมขายเป็นส่วนสำคัญในการทำให้บรรลุเป้าหมาย (เป็นการประกาศเพื่อให้นักขายของคุณ ‘อิน’ กับงานที่ทำ)
– ค่านิยมและจริยธรรมทีมขาย: ทำงานได้อย่างซื่อสัตย์ โปร่งใส ตรวจสอบได้
4. ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ โซลูชั่น หรือบริการที่ขาย (โคตรสำคัญ)
ส่วนแรกที่ต้องฝึกอบรมนักขายก่อนออกไปขายเลยก็ว่าได้ ส่วนนี้คือหัวใจหลักที่นักขายต้องเรียนรู้และมีการทดสอบ ดังนี้
– คุณสมบัติ ประโยชน์ และคุณค่าของสิ่งที่ขาย (เชิงเทคนิคและมีแบบทดสอบ)
– จุดเด่น จุดแข็ง จุดขาย เหนือคู่แข่ง (พร้อมการบ้านเกี่ยวกับสินค้าและบริการของคู่แข่ง)
– กรณีศึกษาหรือ Case Study ทั้งสำเร็จและล้มเหลว
– กิจกรรมสาธิต ทดลอง ทดสอบ โดยนักขายจริงในการใช้สินค้า
5. ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ อุตสาหกรรม กระแส ความเคลื่อนไหวในตลาด (สำคัญ)
ทำให้นักขายเข้าใจว่าเราทำธุรกิจอะไร อุตสาหกรรมกลุ่มไหน แนวโน้มธุรกิจเป็นอย่างไร
– แนวโน้มของตลาดตามสภาพเศรษฐกิจ
– คู่แข่งคนสำคัญ (ซัก 3-4 เจ้า) รวมถึงการวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่งให้ทะลุปรุโปร่ง
6. ความรู้เกี่ยวกับลูกค้าเป้าหมาย (สำคัญ)
ทำให้นักขายเข้าใจว่าควรจะขายใคร บริษัทหรือองค์กรไหนคือเป้าหมายที่ใช่ที่สุด
– ลูกค้าในอุดมคติของเราคือใคร
– ใคร แผนกไหน หรือคนที่เกี่ยวข้องมีอิทธิพลต่อการซื้อขายอย่างไร ทั้งผู้มีอำนาจตัดสินใจและผู้เกี่ยวข้อง
– ปัญหาที่ลูกค้าน่าจะพบบ่อย หรือความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม
– ข้อโต้แย้งที่มักเจอเป็นประจำในการเข้าพบลูกค้า เช่น ใช้คู่แข่งอยู่แล้ว ไม่เข้าใจโซลูชั่น หรือสินค้ามีราคาแพงเกินไป เป็นต้น
7. ความรู้เกี่ยวกับวิธีขายและกระบวนการขายทั้งหมด (สำคัญ)
คือการสอนนักขายให้ทำงานอย่างถูกวิธี ไล่ตั้งแต่เปิดการขาย ติดตามงาน ไปจนถึงปิดการขายได้ทุกขั้นตอน ดังนี้
– Prospecting/Lead Generation: วิธีหาลูกค้าเป้าหมาย แหล่งข้อมูล Lead การคัดกรอง Lead
– Qualifying Leads: เกณฑ์การคัดกรอง (เช่น BANT: Budget, Authority, Need, Timeline)
– Discovery Call/Needs Assessment: คำถามสำคัญที่ควรถาม การฟังอย่างมีประสิทธิภาพ
– Presentation/Demonstration: โครงสร้างการนำเสนอ เทคนิคการสาธิตผลิตภัณฑ์
– Handling Objections (การรับมือข้อโต้แย้ง): รวบรวมข้อโต้แย้งที่พบบ่อย และ Script แนวทางการตอบกลับที่มีประสิทธิภาพ เช่น เรื่องราคา คู่แข่ง ยังไม่พร้อม
– Negotiation (การเจรจาต่อรอง): แนวทางการเจรจา สิ่งที่สามารถยืดหยุ่นได้หรือไม่ได้
– Closing (การปิดการขาย): เทคนิคการปิดการขายที่ใช้ได้จริง สัญญา เอกสารที่เกี่ยวข้อง
– Follow-up & Post-Sale: การดูแลลูกค้าหลังการขาย การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว
8. เครื่องมือเพื่อสนับสนุนการขาย
เครื่องมือทั้งหมดไล่ตั้งแต่การใช้งานอีเมล คอมพิวเตอร์ ไปจนถึงโปรแกรม CRM และ Sales Report
– ระบบ CRM: วิธีการใช้งาน การบันทึกข้อมูล การอัปเดตสถานะ
– เครื่องมือสื่อสาร: Email templates Pitch decks โบรชัวร์
– แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม: ลิงก์ไปยังฐานข้อมูลความรู้ วิดีโอฝึกอบรม
– เอกสารประกอบการขาย: ใบเสนอราคา สัญญา นโยบายการคืนสินค้า
9. ความรู้ด้านกลยุทธการขายขั้นสูง
เรียกได้ว่าเอาเทคนิคเทพๆ จากภายในทีมหรือบทความ วีดีโอ สื่อการสอนเรื่องงานขายขั้นเทพมาใช้เป็นกลยุทธการขายที่ดี เช่น
– Personal Branding สำหรับนักขาย: แนวทางการสร้างตัวตนบน Social Media
– การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: เทคนิคการสร้าง Sales Rapport การหาจุดร่วม การสร้างเครือข่ายหรือหาคอนเนคชั่นใหม่ๆ
– เทคนิคการเล่าเรื่อง (Storytelling): การนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจ
– การวิเคราะห์การขายและการปรับปรุง (Sales Analytics & Improvement): วิธีการวิเคราะห์ Performance ของตนเอง
นี่คือโครงสร้างหลักๆ ของการทำ Sales Playbook ที่ได้มาตรฐานเลยก็ว่าได้ครับ
Comments
0 comments