10 สัญญาณ ที่บ่งชี้ว่าคุณกำลังมีนักขายที่ห่วยแตก

ตลอดชีวิตการเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของผมที่ได้บริหารนักขายมามากกว่า “100 ชีวิต” และเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรเป็นร้อยแห่ง จึงพอสรุปได้ว่านักขายแบบไหนที่ ‘ดี’ และ ‘ห่วย’ ซึ่งถ้าคุณรู้หรือจับเส้นได้ตั้งแต่ช่วยผ่านโปรฯ หรือตอนสัมภาษณ์งานก็จะดีมากๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยคุณลดค่าเสียเวลา ลดการเสียสตางค์ ลดความเซ็งเวลาได้คนห่วยๆ มาทำงาน ลองมาดูกันว่ามีนักขายแบบไหนกันบ้างที่เจอแล้วอย่ารับให้เสียเวลา หรือควรบีบให้พวกเขาดีขึ้นกันครับ

1. นักขายสายบ่น คิดลบ เป็นพิษ (The Complainer)

กลุ่มนี้มีเยอะนะครับ บ่นเรื่องส่วนตัว การบ้านการเมือง เมียที่บ้าน ยังพอว่า แต่ที่แย่กว่าคือดันบ่นเรื่องของบริษัท คิดลบเรื่องสินค้าและผลิตภัณฑ์ โทษว่าสินค้าเราแพงไป คู่แข่งถูกกว่า ของเราห่วยกว่า บลาๆ ลามไปถึงบ่นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้อง ฯลฯ มองโลกในแง่ลบตลอด ที่สำคัญคือบ่นอย่างเดียว ไม่มีวิธีแก้ไป แถมไปล้างสมองคนในทีมให้คิดลบเหมือนมันด้วย

2. นักขายสายโทษคนอื่น (The Blamer)

คล้ายๆ กับนักขายขี้บ่น แต่ที่ระยำกว่าคือพวกนี้ดันไปบ่นสินค้าหรือบริษัทตัวเองให้ลูกค้าฟัง โทษว่าที่สินค้าหรือบริการไม่ดีเป็นเพราะฝ่ายสินค้า หรือฝ่ายบริการก่อความผิดพลาด ส่วนคนขายไม่ผิด ไอ้พวกนี้เจอแล้วต้องจับมาไล่ออกอย่างเดียวครับ แถมเวลายอดขายไม่ดีก็โทษเศรษฐกิจ โทษคู่แข่ง โทษพวกเดียวกันเองเอาไว้ก่อนโดยที่ไม่ดูสารรูปตัวเองเลย ไม่มีการพัฒนาตัวเองเพราะไม่เคยยอมรับว่าตัวเองห่วย ถือว่าอันตรายมาก

3. นักขายสายขี้เกียจ (The Lazy Man)

ขี้เกียจมีความอันตรายตรงที่บางคนเป็นนักขายที่ดี มีความรู้ นำเสนอเก่ง ไม่โทษคนอื่น แต่ไม่ขยัน ไม่เข้าหาลูกค้าใหม่ๆ ทำงานหายใจทิ้งไปวันๆ ความอันตรายคือเวลาคนขยันเห็นคนขี้เกียจวันๆ ไม่ทำอะไรแต่ดันได้ดีเพราะถือ Key Account อยู่ เลยมียอดขายสม่ำเสมอ สิ่งนี้จะเกิดความไม่ยุติธรรมและบีบให้คนอื่นลาออกไปทำงานกับระบบที่แฟร์มากกว่า บางคนยอดขายไม่ดียังไม่พอ แต่เสือกไม่ขยันอีกต่างหาก พวกนี้ต้องคัดทิ้งครับ อย่าเก็บไว้เสียข้าวสุก

4. นักขายสายมั่ว (The Uninformed)

มั่วเพราะไม่มีความรู้ด้านสินค้าและโซลูชั่นอย่างถ่องแท้ อาจเป็นเพราะไม่ตั้งใจตอนฝึกอบรม ไม่ก็นิสัยมั่วซั่ว รับปากลูกค้าเกินฝีมือเอาไว้ก่อน หรือไม่ก็ตอบคำถามมั่ว ลูกค้าจับได้ว่าไม่รู้จริง อย่างนี้เสียความน่าเชื่อถืออย่างรุนแรงและทำให้ภาพลักษณ์บริษัทเสียหาย ปิดการขายไม่ได้ กลุ่มนี้ต้องจับมาล้างสมองและฝึกอบรมใหม่ก็จะพอแก้ไขได้บ้างครับ (ถ้ามันไม่โง่จริงๆ)

5. นักขายสายตื๊อ (The Pushy One)

กลุ่มนี้เป็นนักขายที่ยัง ‘อ่อนหัด’ ขายไม่เป็น คิดว่าการขายคือการตื๊อเลยขายผิดวิธี โดยเฉพาะสินค้าหรือโซลูชั่นที่เป็นงานกับโครงการขนาดใหญ่ ผลก็คือไปสร้างความกดดัน ก่อความรำคาญ ลูกค้าหนีหายโดยไม่รู้ตัว กลุ่มนี้เห็นผลมากๆ ว่าธุรกิจเสียหายทั้งภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในระยะยาว เช่น ธุรกิจขายตรง ขายประกัน คนที่ขายผิดวิธีมักตื๊อหนักจนเสียเพื่อน เสียญาติกันมาเยอะแล้ว

6. นักขายสายหายตัว (The Ghost One)

พวกนี้มักทำงานแบบเรียกร้องการไม่เข้าออฟฟิศ ไปทำงานกับลูกค้านอกสถานที่หรือออกต่างจังหวัดเป็นหลัก ประเด็นคือยอดขายก็ไม่มีแต่มีรายงานว่าเข้าพบลูกค้า หรือไปนอนพักที่ไหนบ้าง เรื่องของเรื่องคือเราไม่สามารถจับตาดูได้ตลอดว่าพวกเขาไปไหน นักขายกลุ่มนี้เลยชอบหายหัว อู้งาน ไปนั่งตามร้านกาแฟบ้าง ไปหากิ๊กบ้าง หรือบางทีเข้าพบลูกค้าจริงแต่ไม่ติดตามผล ไม่เข้าเยี่ยมซ้ำๆ พวกนี้อันตรายตรงทำงานไม่คุ้มค่าตัว อู้งานบ่อยๆ เอาเปรียบเวลาคนอื่น ต้องเอาระบบมาควบคุมให้รู้ว่าพวกเขาทำอะไร

7. นักขายสายกั๊ก โลกส่วนตัวสูง หมาป่าเดียวดาย (The Lone Wolf)

เมื่อก่อนสายนี้ถือว่าฮิตกันมาก ทำงานแบบเสือซุ่ม ทำยอดขายได้ทะลุเป้าแล้วไม่เอาคนอื่น นักขายเก่งๆ มักมีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว แต่ยุคนี้กลับไม่เวิร์คเพราะจะขาดการทำงานแบบทีมเวิร์กเป็นอย่างมาก ไม่รู้จักสื่อสาร กั๊กข้อมูล ทำงานคนเดียว ผลก็คือไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วย ประเด็นคือนักขายกลุ่มนี้จะไม่สามารถถ่ายทอดความเก่งให้กับนักขายรุ่นใหม่ๆ ที่เราอยากให้เขาบริหารหรือดันเป็นผู้จัดการฝ่ายขายในอนาคต นักขายกลุ่มนี้มีความน่าเศร้าคือพวกเขาจะโตได้แค่ตำแหน่งนักขายเพียงเท่านั้น

8. นักขายสายสร้างภาพ (The Show Man)

มีเยอะเลยครับกลุ่มนี้ พูดดี บุคลิกดี วางตัวดี ประจบ สอพลอ ดูมีเสน่ห์ แต่ยอดขายดันไม่มี ดีแต่ปากว่างั้นเหอะ ส่วนใหญ่มักมาด้วยหน้าตาสวยหล่อดูน่าเชื่อถือ จึงดูมีภาษีดีกว่านักขายคนอื่นแบบเปลือกๆ หรือตอนอยู่กับลูกค้าก็เน้นการสร้างความสัมพันธ์แบบผิวเผินแต่ดันขายไม่ได้ เพราะคิดไปเองว่าการขายได้คือการมีเสน่ห์แต่ไม่เข้าใจแก่นแท้ของการขายคือคุณค่าที่ส่งมอบให้ลูกค้าหรือการตอบโจทย์เรื่องธุรกิจและชีวิตมากกว่า

9. นักขายสายไม่ปรับตัว (The Stuck One)

ส่วนใหญ่เป็นนักขายรุ่นใหญ่ที่ขาดทักษะการปรับตัวกับวิธีการใหม่ๆ หรือการใช้เทคโนโลยีอย่างรุนแรง ยึดติดกับวิธีการเดิมๆ หรือขายแต่ลูกค้าหน้าเดิมๆ โลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแต่ตัวเองกลายเป็นคนตกยุค พวกนี้มีความยุ่งยากคืออยู่กับองค์กรมานาน ปรับตัวก็ช้า ไล่ออกก็เสียชดเชยเยอะ แถมยังหัวแข็งอีกต่างหาก ที่สำคัญคือจะปล่อยพลังงานเชิงลบให้กับนักขายรุ่นใหม่ๆ ด้วย

10. นักขายสายหมดไฟ (The Burnout)

ทุกอย่างมัดรวมกันในคนคนเดียวคือ หมดไฟ ไม่กระตือรือร้น เบื่องาน หายใจทิ้งไปวันๆ ไม่ใส่ใจ จะด้วยเหตุผลส่วนตัวหรืออะไรก็ตามแต่ คนกลุ่มนี้ต้องเรียกมาปลุกไฟให้ได้ แต่ถ้ายังปลุกไม่ขึ้นก็ต้องเรียกมาคุย เคลียร์ใจ ไม่ค่อยปล่อยให้ไปทำงานเพราะประสิทธิภาพจะต่ำมากแถมยังปล่อยพลังเชิงลบให้กับทีมอีกต่างหาก

ถ้าคุณเจอปัญหานักขายตามที่ผมระบุเอาไว้ บอกเลยว่าไม่ควรปล่อยให้ไฟลามทุ่มจนแก้ไขได้ลำบาก หรือปรึกษาผมได้ครับว่าจะมีมาตรการแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างไร

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts