ยอดขาย สั่งได้ด้วยเทคโนโลยี MarTech (ภาค 2)

มาต่อกันเลยกับ MarTech Solution ซึ่งส่งผลโดยตรงกับยอดขายของธุรกิจคุณ ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจแบบ B2B หรือ B2C ก็ตาม คุณย่อมหนีไม่พ้นการใช้แพลทฟอร์มต่างๆ หรือยังไงก็ต้องยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่ต้องออนไลน์ ธุรกิจไหนที่ไม่มีระบบหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัย ธุรกิจนั้นย่อมสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับคู่แข่งอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้นคือคุณกำลังใช้ชีวิตอยู่กับยุค AI ที่สามารถถามอะไรก็ได้แล้วมันคิดหรือทำข้อสอบแทนคนได้เลยด้วยซ้ำ การรู้เท่าทันเทคโนโลยีแล้วนำมันมาปรับใช้จะทำให้คุณเป็นผู้ชนะในสงครามการค้าได้อีกหลายสังเวียนเลยครับ มาดูกันเลยว่ามี MarTech อะไรที่น่าสนใจอีก ดังนี้

1. AI and Chatbot

การขายผ่านช่องทางออนไลน์มีปัจจัยที่สำคัญที่สุดอันดับหนึ่งก็คือ “ความเร็ว” ว่ากันว่าถ้าคุณลืมตอบแชทลูกค้าช้ากว่า 1 นาที ลูกค้าก็หายหัวไปซื้อเจ้าอื่นแล้วล่ะครับ เห็นไหมครับว่า “ค่าเสียโอกาส” นั้นมันมากมายมหาศาลขนาดไหน ต่อให้คุณมีทีมขายเป็นร้อย บางอย่างย่อมมีช่องโหว่เกิดขึ้นจากมือมนุษย์แน่นอน ดังนั้น AI and Chatbot จะถูกสร้างมาเพื่อโต้ตอบลูกค้าไล่ตั้งแต่ประโยคง่ายๆ ไปจนถึงประโยคที่มีความซับซ้อน เพราะ AI สามารถเรียนรู้ ML (Machine Learning) ที่ยิ่งมันรู้ภาษามนุษย์มากเท่าไหร่ การโต้ตอบก็จะว่องไว เฉลียวฉลาด ราวกับคนมาตอบเช่นนั้น

AI และ Chatbot จึงเหมาะมากกับธุรกิจที่เน้นการขายหรือสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นก่อนขาย ระหว่างขาย หรือบริการหลังการขาย อารมณ์ประมาณโอเปอเรเตอร์ธนาคารนั่นแหละครับ นอกจากจะลดต้นทุนเรื่องคนออกไปแล้ว ยังเพิ่มขีดความสามารถในการโต้ตอบกับลูกค้าแบบ Realtime ได้อีกด้วยครับ ที่สำคัญคือแม้ธุรกิจคุณจะพึ่งเริ่มต้น คุณก็สามารถหาบริการ AI และ Chatbot ที่เหมาะสมกับธุรกิจคุณได้เลยครับ

2. Customer Data Platform

แปลแบบชาวบ้านก็คือระบบที่เก็บข้อมูลลูกค้าแบบ 360 องศา บ้านๆ กว่านั้นอีกคือเก็บข้อมูลมาเพื่อทำให้รู้ว่าลูกค้าคนนี้เป็นใคร ชอบอะไร ซื้ออะไร พฤติกรรมบนโลกออนไลน์เป็นแบบไหน มาจากไหน โดยเฉพาะเรื่องของ “การมาจากไหน” นั้นสำคัญมาก เช่น มาจากไลน์ เฟซบุ้ค โทรศัพท์ อีเมล ช็อปปี้ ลาซาด้า ฯลฯ เพื่อให้คุณวางแผนหรือตัดสินใจในการทำโฆษณาได้อย่างเฉียบคมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ลูกค้ามาจากเฟซบุ้คเป็นหลัก การแบ่งงบโฆษณาจึงควรเทไปที่เฟซบุ้คเป็นอันดับหนึ่ง เป็นต้น

ถ้าธุรกิจคุณเน้นการขายแบบออนไลน์เป็นหลัก CDP จะสำคัญมากเพราะมันสามารถเชื่อมข้อมูลจากที่มาหลายๆ แหล่งให้ระบุได้ว่าลูกค้าคนนี้เป็นใคร เช่น ผมอาจจะกดไลค์โฆษณารถยนต์ยี่ห้อหนึ่งบนเฟซบุ้ค โดยที่ผมก็ท่องเว็ปไซต์ไปดูโฆษณารถยนต์ของคู่แข่งบนกูเกิ้ล ซึ่ง CDP ที่ฉลาดจะรับรู้ว่าผมมีพฤติกรรมพิจารณาหรือเปรียบเทียบรถยนต์แต่ละยี่ห้ออยู่นั่นเอง ทำให้ถ้ารู้อีกว่าผมเป็นใครผ่านลิ้งก์อิน หรือรู้ Facebook Account ของผมจากชื่อจริง พนักงานขายจะรีบติดต่อผมมาเพื่อเสนอโปรโมชั่นอย่างรวดเร็วจากข้อมูลที่ตัดสินใจได้บน CDP นั่นเองครับ

3. Social Commerce

MarTech นี้มักจะเป็นคำกว้างๆ และหลายคนก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว นั่นคือการทำให้ Social Media Platform ที่มีความสามารถในการเปิดร้านค้าออนไลน์ เช่น เฟซบุ้ค ไอจี Pinterest, Shopee, Lazada, etc. ฟังดูอาจจะไม่เจ๋งเพราะคุณเองก็ไปเปิดร้านเมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้ว แต่เนื่องจากความยุ่งยากในการคุมร้านค้าในหลายๆ Platform จึงมี Technology ในการช่วยให้คุณเปิดร้านและดูแลร้านได้แบบพร้อมๆ กันผ่าน Platform เดียว ถึงตรงนี้คงรู้สึกว่าเจ๋งมากขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ

บริษัทชื่อดังที่ช่วยคุณทำ Social Commerce และคุมงานได้จาก Platform เดียวก็คือ Shopify, Depop, Bazaarvoice, etc. ซึ่งจะช่วยคุณเปิดร้าน จัดการบริหารสินค้า และยังมีระบบจ่ายเงินที่ไม่ยุ่งยากเสียเวลา เพราะการเปิดร้านในแต่ละ Platform ด้วยตนเองมักมีระบบหรือกติกาที่ไม่เหมือนกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยังไม่ดังในเมืองไทยมากนัก ถ้าคุณทำก่อนย่อมได้เปรียบก่อนแน่นอน

4. Marketing Automation

Automatic, Automation พูดกันง่ายๆ ก็คือจากอัตโนมือก็จะกลายเป็นอัตโนมัติ มันคือเครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่ช่วยคุณทำการตลาดแบบอัตโนมัติ ซึ่งคุณควรจะต้องมี CRM (ตามบทความที่แล้ว) หรือ CDP ที่เก็บข้อมูลกับพฤติกรรมลูกค้าระดับหนึ่ง คุณถึงสั่งการทำการตลาดที่น่าสนใจ เช่น ส่ง SMS, Email, โปรโมชั่นเด็ดๆ ทางไลน์ตามความสนใจสินค้าของลูกค้าแต่ละคน ฯลฯ จากการรับรู้พฤติกรรมซ้ำๆ อย่างเช่น คุณทราบว่าลูกค้าชอบตื่นนอนหรือเปิดอีเมลทุกเช้าวันจันทร์ คุณจึงส่งอีเมลเกี่ยวกับสินค้าใหม่แบบตั้งเวลายิงโฆษณาอัตโนมัติในช่วงเวลานั้นๆ เป็นต้น

ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆ และเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์มือถือ ซึ่งมีการทำ Marketing Automation แบบที่คุณไม่รู้ตัว เช่น ห้างสรรพสินค้า เวลาคุณเดินเข้าไปก็จะมี SMS ที่เกี่ยวกับโปรโมชั่นหรือร้านค้าที่คุณชอบไปซื้อบ่อยๆ ยิงเข้ามาเพื่อให้คุณกลับไปซื้ออีก ซึ่งลูกค้าแต่ละคนก็จะมีความชอบ ความสนใจที่แตกต่างกัน วิธีนี้ถือว่าประหยัดค่าการตลาดและสามารถเพิ่มยอดขายทั้งทางตรงและทางอ้อมได้มาก อีกทั้งยังช่วยในการรักษาลูกค้าให้จงรักภักดีกับเราได้อีกด้วย

5. Social Listening

ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่มันมีมาเกือบ 10 ปีแล้ว เพียงแต่คุณยังไม่รู้ว่าวันนี้ถ้าคุณทำธุรกิจอะไรที่มีแบรนด์และคุณอยากเห็นความเคลื่อนไหวในโลกโซเชี่ยลมีเดีย โดยเฉพาะ Facebook, IG, TikTok, Twitter, etc. ว่าพูดถึงคุณในแง่มุมไหนบ้าง พอใจหรือไม่พอใจ มีคนชอบหรือไม่ชอบ หรือมีการรีวิวสินค้าคุณอย่างไร พูดสั้นๆ แค่นี้คุณย่อมอยากรู้แล้วใช่มั้ยล่ะครับ

แค่พูดถึงแบรนด์คุณเองอาจยังไม่เจ๋งพอ แต่ถ้าสามารถจับตาดูความเคลื่อนไหว การพูดถึงแบรนด์ของคู่แข่ง คุณยิ่งหูผึ่งเป็นสองเท่า ไม่ว่าจะเป็นข่าว PR ดราม่า หรือการเปิดตัวสินค้า เรื่องทำนองนี้คุณยิ่งต้องเร็วเพื่อปรับกลยุทธ์ในการทำการตลาดไปสู้คู่แข่ง ดังนั้น Social Listening ที่ดีจะจับกระแสหรือการพูดถึงแบบข้อความได้แบบรวดเร็ว นำข้อมูลเหล่านั้นมาทำ Marketing Analysis ทางการตลาดเพื่อให้คุณรับรู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่าจะทำการตลาดให้แตกต่างอย่างไร หรือแม้กระทั่งการแก้ไขเรื่องดราม่าในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็วที่สุด

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts