ถ้าคุณเกิดมาจน…จงอ่าน 10 เรื่องราวของบุคคลเหล่านี้ให้จบ

“แรงบันดาลใจ” เป็นสิ่งที่สำคัญในยามที่เรารู้สึกท้อแท้ บางทีการเปิดรับเรื่องราวดีๆ ของคนทีมีความหลังจากฐานะยากจน บ้านไม่รวย ต้นทุนทางสังคมไม่สูง แต่มานะบากบั่นเปลี่ยนความเจ็บปวดในวัยเด็กให้กลายเป็นแรงผลักดันจนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณมีกำลังใจที่จะต่อสู้ปัญหาและประสบความสำเร็จในอนาคตได้

วันนี้ผมเลยหยิบเรื่องราวดีๆ ของบุคคลที่คุณควรเอาตัวเป็นแบบอย่าง เพื่อเอาชนะและฟันฝ่าอุปสรรคได้ ส่วนตัวผมเองก็เคยเป็นคนที่ต้นทุนทางสังคมไม่สูง บ้านจน สมัยเด็กผมได้แต่นั่งตีอกชกลมว่าทำไมเราถึงบ้านไม่รวย ไม่สบายเหมือนคนอื่นเค้า

ผมได้เปลี่ยนสิ่งนั้นจากปมด้อยกลับมาเป็นปมเด่น เอามันมาเป็นแรงบันดาลใจ ผมได้อ่านประวัติของบุคคลหลายๆ ท่านที่ผมเอามาแชร์นี้ ทำให้ผมได้พบความลับของมหาเศรษฐีระดับโลกหลายๆ ท่าน กว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนทุกวันนี้ได้ เค้าผ่านอะไรมามากมายและแทบไม่ต่างกับชีวิตผมสมัยก่อน จึงขอเอามาเล่าให้คุณฟังกันครับ

 1) ตัน ภาสกรนที – Ichitan CEO

คุณตันแห่งอิชิตัน ผมรู้ดีว่าคงไม่มีใครในประเทศนี้ไม่รู้จักคุณตัน เจ้าของธุรกิจชาเขียวระดับชาติ

ผมเคยอ่านหนังสือคุณตัน “วิถี (ไม่) ตัน” คุณตันได้เล่าถึงชีวิตในวัยเด็กตั้งแต่สมัยทำงานกับชีวิตที่ต้องฝ่าฟัน คุณตันเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน การศึกษาไม่สูง เรียนหนังสือไม่เก่ง รูปไม่หล่อ ไม่ได้มีปริญญาด้านการตลาดใดๆ มาการันตี

จากธุรกิจกิฟช็อป ขายหนังสือ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร เวดดิ้งสตูดิโอ ไปจนถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และจับธุรกิจชาเขียวจนเป็นที่เลื่องลือของประเทศไทย

ความลับที่นำพาคุณตันมาจนถึงทุกวันนี้คือความเชื่อมั่น ความวิริยะอุตสาหะ วินัย ไขว่คว้าหาโอกาสอยู่เสมอ และที่ขาดไม่ได้เลยคือ “ทักษะการขายและการตลาด” ซึ่งผมเชื่อว่านักขายทุกคนควรยึดถือคุณตันไว้เป็นแบบอย่าง ชีวิตคุณดีขึ้นแน่นอนครับ

 2) Roman Abramovich – Chairman of Chelsea Football Club

ใครที่ชื่นชอบฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษคงไม่มีใครไม่รู้จักประธานสโมสรเชลซี ทีมชั้นนำระดับโลกของอังกฤษ ซึ่งชื่อของเขาผู้นั้นที่มักจะปรบมือให้ลูกทีมยามเล่นในบ้านเป็นประจำนั่นคือ “โรมัน อบราโมวิช”

เขาเติบโตมาอย่างเด็กกำพร้า โดยที่แม่ของเขาเสียชีวิตจากอาการโลหิตเป็นพิษ เป็นผลมาจากการทำแท้งเถื่อน ซึ่งตอนนั้นโรมันมีอายุได้เพียงขวบเดียว พ่อของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในสถานที่ก่อสร้างในขณะที่โรมันอายุได้ 3 ขวบ โรมันเติบโตมากับครอบครัวของลุงก่อนที่จะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในกองทัพโซเวียต หลังจากการรับรัฐการทหาร เขาได้เข้ารับการศึกษาในช่วงเวลาสั้นๆที่สถาบันการขนส่งยานยนต์แห่งมอสโค (Moscow State Auto Transport Institute)

ก่อนที่จะเลิกเรียนเพื่อไปทำธุรกิจซึ่งชะตาชีวิตพลิกผันเมื่อเขาจับธุรกิจค้าน้ำมันในบริษัทซิบเนฟท์ โดยเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จากความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลรัสเซีย

ตอนนี้เขาเป็นมหาเศรษฐีน้ำมันชาวรัสเซียและเป็นเจ้าของหลักของบริษัทลงทุนเอกชน บริษัทมิลล์เฮาส์ แคปปิทัล เขาถูกขนานนามว่าเป็น Russian oligarchs (คนที่ร่ำรวยมากหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต)

ใครจะเชื่อว่าบุคคลระหว่างยุคสหภาพโซเวียตล่มสลาย กลายเป็นประเทศที่ไม่มีอำนาจใดๆ ในช่วงนั้น บ้านแตกสาแหรกขาด มีแต่ความยากจน จะสร้างความสำเร็จโดยอาศัยคอนเน็กชั่นที่ยอดเยี่ยม ไม่ได้มีต้นทุนทางสังคมใดๆ ไม่ได้เกิดมารวยหรือเป็นคนชั้นสูง แต่สร้างคอนเน็กชั่นกับบุคคลระดับสูงและนำความสำเร็จมาสู่ตัวเองได้ถึงขนาดนี้

อ่านต่อได้ที่: Wikipedia-โรมัน อับราโมวิช 

 3) J.K.Rowling – Author of Harry Potter

ใครจะเชื่อว่าผู้ที่ให้กำเนิดนวนิยายระดับโลก จนถูกสร้างเป็นหนังถึง 8 ภาค “แฮรี่ พอตเตอร์” เป็นฝรั่งผิวขาวชาวอังกฤษ ซึ่งดูเผินๆ เหมือนกับฝรั่งทั่วไปที่ดูดี น่าจะชีวิตที่มีคุณภาพตามแบบฉบับเมืองผู้ดีอังกฤษ

เธอมีชีวิตที่ยากลำบากมาโดยตลอด ต้องหย่ากับสามี มีชีวิตการแต่งงานที่เลวร้ายและกลายมาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มีช่วงชีวิตที่เป็นโรคซึมเศร้า

ระหว่างนั้นเธอกลายเป็นคนว่างงาน ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังอยู่ในแฟลทรังหนูด้วยเช็คสังคมสงเคราะห์ ทำให้เธอต้องพาลูกมาเลี้ยงที่ร้านกาแฟของน้องเขยทุกวัน เธอใช้เวลาว่างในการแต่งหนังสือของเธอจนจบ

เธอเสนอผลงานให้กับหลายสำนักพิมพ์แต่ไม่มีสำนักพิมพ์ใดเลยที่สนใจผลงาน เธอก็ไม่ย่อท้อ แต่กลับเชื่อมั่นว่า แฮรี่ พอตเตอร์ จะต้องเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆทั่วโลก

ในที่สุดสำนักพิมพ์ล่าสุดก็รับพิมพ์หนังสือของเธอโดยให้ค่าลิขสิทธ์ก้อนแรก หลังจากนั้นไม่นานคนทั้งโลกก็ได้รู้จักกับปรากฏการณ์แฮรี่ฟีเวอร์!! จนได้นำไปทำเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้คนหลงใหลไปทั่วโลก!!

ปัจจุบันเธอมีทรัพย์สินร่วม 2,000 ล้านบาท ขึ้นทำเนียบบุคคลรวยที่สุดอันดับ 122 ของอังกฤษ!

อ่านต่อได้ที่: Wikipedia-JK Rowling

 4) Chris Gardner – The Pursuit of Happiness

เคยดูหนังเรื่อง “The Pursuit of Happiness” ที่เล่นโดยวิลล์ สมิธ มั้ยครับ หนังที่ทำให้ลูกผู้ชายสามารถเสียน้ำตาไปกับชะตาชีวิตของ “คริส การ์ดเนอร์” ซึ่งเป็นหนังที่สร้างจากชีวิตจริงของเขา

พิเศษสำหรับนักขายและนักเลงหุ้นทุกคน โปรดอย่าพลาดดูหนังจากชีวิตของเขาเป็นอันขาดนะครับ เรื่องราวของคริส การ์ดเนอร์ สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้เป็นอย่างดี

จากอดีตเซลล์แมน (ซึ่งลงทุนซื้อของมาขายเองอีกต่างหาก) ที่ฐานะยากจน มีปัญหาครอบครัว เมียทิ้ง ต้องเลี้ยงลูกชายคนเดียวโดยอาศัยที่พักเพื่อคนด้อยโอกาสซึ่งฟรี พบกับสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ ต้องเปลี่ยนที่ซุกหัวนอนไปวันๆ แย่สุดคืออาศัยห้องน้ำของสถานีรถไฟใต้ดิน สะท้อนความเจ็บปวดในเรื่องของความยากจนได้เป็นอย่างดี

ระหว่างที่คริส การ์ดเนอร์ยังเป็นเซลล์แมนขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ซึ่งขายยาก เขาได้ถามคนที่ขับรถสปอร์ตว่า

“ทำอย่างไรผมถึงจะชีวิตที่มีความสุขเหมือนคุณบ้าง”

เขาได้รับคำตอบมาว่า

“ก็ทำงานเป็น Stock Broker (นายหน้าค้าหุ้น) ไงเพื่อน”

เขาได้ไปสมัครงานเป็นนายหน้าค้าหุ้นซึ่งต้องเข้ารับโปรแกรมฝึกหัดโดยไม่ได้รับค่าจ้างเป็นเวลา 6 เดือน แถมหลังจบหลักสูตรจะรับเป็นพนักงานประจำแค่คนเดียวอีกต่างหาก เขาได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะทุ่มเททั้งการเรียน การดูแลลูกและยังต้องขายของทำทุกวัน ทำซ้ำๆ ไม่ว่าจะเหนื่อยซักแค่ไหนเขาก็ไม่ยอมแพ้

คริสได้รับเลือกให้เป็นโบรกเกอร์มืออาชีพ จากความรู้และประสบการณ์ที่เขาทำ ได้สร้างเนื้อสร้างตัวจนเปิดบริษัทโบรกเกอร์ของตัวเอง “Gardner Rich & Co” และทำเงินให้เขาหลายล้านดอลลาร์ กลายเป็นมหาเศรษฐีและเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจในปัจจุบันนี้

**เคล็ดลับพิเศษ** ถ้าใครอยากโทรทำนัดแบบเทพๆ คุณจงไปดูหนังเรื่องนี้ คริสได้ใช้เทคนิคการโทรโดยโทรทำนัดกับคนที่ใหญ่ที่สุดในองค์กรไปเลย คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปและไม่ดื่มน้ำมากจนเกินไปเพราะจะได้ไม่ต้องไปฉี่บ่อย ทำให้มีเวลามากกว่าคนอื่นในการโทรทำนัด

 5) Howard Schultz – Founder of Starbucks

นี่คือกาแฟที่ผมซื้อ “Hot Americano Size Tall ” กินทุกวัน ขาดมันไม่ได้ วันไหนไม่กินกาแฟร้านเขียวที่ชื่อ “Starbucks” ผมจะทำงานไม่ได้เรื่องทันทีเคยได้แต่นั่งสงสัยว่าใครนะ เป็นเจ้าของสตาร์บั้คส์ ร้านกาแฟที่เปิดใหม่ที่ไหนก็มีแต่คนกินพอๆ กับแมคโดนัลด์เลย เจ้าของต้องรวยมากแน่ๆ เลย ใครจะรู้ว่าประวัติของเขาก็มีเบื้องหลังที่มาจากคนสู้ชีวิตมาก่อน

ฮาวเวิร์ด ชูลท์ซ เกิดในย่านบรูคลิน นิวยอร์ค เมื่อปี 1953 และเติบโตในย่านเบย์ วิว อยู่ในย่านสำหรับผู้มีรายได้น้อย ในวัยเด็ก พ่อแม่ของเขาทำงานรับจ้างรายวันและต้องใช้ชีวิตอย่างขัดสน หลังจากที่พ่อของเขาข้อเท้าแตกจนไม่อาจทำงานขับรถส่งของได้อีกต่อไป ด้วยภาวะที่ไม่มีประกันสุขภาพหรือสวัสดิการคุ้มครองใดๆ ครอบครัวของเขาจึงมีรายได้เพียงพอแค่ซื้ออาหารประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น

ในระหว่างเรียนเขาทำงานเป็นพนักงานขายที่ซีร็อกซ์ คอร์ปอเรชั่น จุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจ ในปี 1979 เขาได้ทำงานในตำแหน่งผู้บริหารที่ฮัมเมอร์พลาสต์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและทำกาแฟแบบแยกกากจากสวีเดน ทำให้มีโอกาสได้รู้จักกับบริษัทจำหน่ายเมล็ดกาแฟเล็กๆ ในซีแอตเติ้ลที่ชื่อว่า “สตาร์บัคส์” ซึ่งเป็นบริษัทที่มาซื้อเครื่องผลิตเอสเปรสโซ่จากฮัมเมอร์พลาสต์ ชูลท์ซเกิดความสนใจและลงทุนบินไปถึงซีแอตเติลเพื่อทำความรู้จักสตาร์บัคส์ ที่นั้นชูลท์ซได้พบกับผู้ก่อตั้งสตาร์บัคส์และทีมงานซึ่งได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นในปี 1971 เพื่อจำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่วบดสดใหม่ที่มีคุณภาพ เขาได้เข้าทำงานเป็นลูกจ้างและผู้บริหารของสตาร์บั้คส์จากนั้นมา

ความสำเร็จของเขาเริ่มขึ้นเมื่อเขาลาออกจากสตาร์บัคส์ในปี 1985 เพื่อเปิดร้านกาแฟชื่อ อิล จิออร์นาเล (il Giornale – การเดินทาง) ซึ่งร้านกาแฟของเขาก็ได้รับความนิยมและมีความตั้งใจที่จะขยายสาขา ต่อมาผู้ก่อตั้งสตาร์บัคส์ได้ขายร้านสตาร์บัคส์สาขาแรกในซีแอตเติลให้กับเขา

เขาได้รวมร้านนี้เข้ากับร้านของเขาและตั้งชื่อร้านว่า “สตาร์บัคส์คอมฟี่ คัมปานี” ถึงแม้ในช่วงแรกร้านกาแฟที่ขายกาแฟคุณภาพเพียงอย่างเดียวจะยังไม่ได้รับความนิยมมากนักในอเมริกา แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอกาแฟสดแบบธรรมดาเคียงคู่ไปกับกาแฟคุณภาพอย่างเช่น เอสเปรสโซ่ คาปูชิโน่ ลาเต้ กาแฟเย็น และม็อคค่าพร้อมๆ กับการสร้างบรรยากาศภายในร้านให้เป็นสถานที่สำหรับสังสรรค์ของกลุ่มเพื่อนและคนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟ

นี่คือตัวอย่างของลูกจ้างมืออาชีพที่เข้าไปสร้างผลประโยชน์ด้วยแนวคิดที่แน่วแน่จนพิสูจน์ตัวเองในการเข้าควบรวมกิจการและสร้างเป็นแบรนด์ระดับโลกได้ คุณเองก็ทำได้เช่นกันครับถ้ามีทักษะการขาย ความทะเยอทะยานและวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม

ที่มา: http://walkingsuccess.com/howard-schultz/

 6) Steve Jobs – Founder of Apple

ในขณะที่คุณกำลังอ่านบทความของผมด้วยไอโฟนในตอนนี้ ผมทราบดีว่าไม่มีทางที่คุณจะไม่รู้จักคนให้กำเนิดไอโฟนสุดเทพ นามว่า “สตีฟ จ็อบส์”

สตีฟ จ็อบส์ เกิดเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการ ละทิ้งให้ครอบครัวอื่นรับเลี้ยง มีวัยเด็กที่ไม่ถือว่ายากจนมาก แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบาย

เขาเลิกเรียนมหาวิทยาลัยกลางคัน เพราะไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองต้องเรียน เลือกเข้าเรียนวิชาที่ตัวเองชอบเท่านั้น อีกทั้งครอบครัวบุญธรรมยังมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการเรียนได้ตลอดรอดฝั่ง อนาคตด้านการศึกษากระท่อนกระแท่น

เมื่อโตขึ้นสู่วัยหนุ่มเขาออกแสวงหาความหมายของชีวิต เดินทางไปยังประเทศอินเดีย ใช้ชีวิตแบบฮิปปี้ รักอิสระ ไม่อาบน้ำ ไม่ใส่รองเท้า เป็นคนที่แปลกแยกออกจากสังคม

มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต เขาร่วมเปิดกิจการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเล็กๆในโรงรถกับเพื่อนสนิท เติบโตต่อขยายจนกลายมาเป็นบริษัท แอปเปิ้ล โดยเขาดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอของบริษัท ขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแต่บริษัทก็ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่

เขาต้องถูกไล่ออกจากบริษัทของตนเอง โดยคนที่เขาเลือกมาช่วยบริหารงาน แต่ก็ได้กลับมาบริหารแอปเปิ้ลอีกครั้งในช่วงเวลาต่อมา และนำพาบริษัทพลิกจากช่วงตกต่ำขึ้นทะยานสู่จุดสูงสุด พร้อมด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างไอโฟน ทำให้ตัวเขามีสินทรัพย์มหาศาลในที่สุด

อย่างไรก็ดีชีวิตคนเรามักไม่แน่นอน เขาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง ทิ้งแอปเปิ้ลให้กับผู้บริหารคนใหม่อย่าง ทิม คุ๊ก แต่ชื่อของเขาจะเป็นที่จดจำตลอดไปอย่างแน่นอน

แรงบันดาลใจเพิ่มเติม: อายุน้อยร้อยล้าน

 7) Ursula Burns – First African-American Xerox CEO

ใครจะเชื่อว่าเครื่องถ่ายเอกสารหรือที่เราเรียกว่าเครื่องซีร็อกส์ (Xerox) จะมีผู้นำระดับซีอีโอที่มีเบื้องหลังชีวิตที่ยากลำบากกว่าคุณมากนัก ในเมื่อภาพลักษณ์ของ CEO ส่วนใหญ่มักมาจากบุคคลที่มีการศึกษาสูง มาจากบ้านที่มีฐานะค่อนข้างดี มีครอบครัวที่อบอุ่น

สุภาพสตรีผิวสีที่ผมเอามาเล่าให้คุณฟังท่านนี้ เธอโตขึ้นในย่านยากจนและอยู่ในเขตอันธพาลแถบแมนฮัตตัน มีชีวิตในวัยเด็กที่ค่อนข้างลำบาก ต้องเจอกับปัญหาการเหยียดสีผิวซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงและดูหมิ่นความเป็นมนุษย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่เป็นปรจำ คุณแม่ของเธอต้องพยายามหาเลี้ยงชีพเพื่อส่งเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

ท้ายที่สุดเมื่อจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เธอได้เข้าทำงานที่บริษัทซีรอกซ์ในตำแหน่งพนักงานฝึกหัด (Trainee) จนได้กลายมาเป็นซีอีโอผิวสีคนแรกของบริษัทซีรอกซ์ (Xerox) ถือเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่ได้บริหารจัดการบริษัทที่ติดอันฟอร์บส์ (Forbes) 500 คนแรกอีกด้วย แสดงว่าเธอคือ 1 ใน 500 ผู้บริหารระดับเทพที่สุดในโลก

โดยผลงานชิ้นสำคัญของเธอคือการประคับประคองธุรกิจดั้งเดิมอย่างการผลิตและจำหน่าย “เครื่องถ่ายเอกสาร” ให้ยังคงสามารถอยู่รอดได้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีของโลกยุคปัจจุบัน รวมถึง การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การบุกเบิกธุรกิจแขนงใหม่ๆ เช่น การให้บริการด้านเทคโนโลยีสำนักงานต่อภาคธุรกิจ

สุดยอดไปเลยครับ เป็นแบบอย่างของการทำงานแบบลูกจ้างมืออาชีพและก้าวไปสู่ CEO ของบริษัทระดับโลก ผมรู้สึกมีความหวังและเชื่อว่าทุกคนก็สามารถทำได้เหมือนท่านผู้นี้ครับ

แรงบันดาลใจเพิ่มเติม: อายุน้อยร้อยล้าน

 8) Li Ka-shing – Hong Kong Superman

“ฮ่องกง” ใครจะเชื่อว่าแผ่นดินของจีนที่เล็กกว่าไทยเรานั้นหลายเท่า แทบจะไม่มีทรัพยากรใดๆ เลย กลับกลายเป็นประเทศ (หรือเขตเศรษฐกิจของจีน) ที่เป็นหนึ่งในเขตที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปเอเชีย ใครได้ไปเยี่ยมเยียนประเทศนี้บ่อยๆ ก็จะพบกับความซิวิไลซ์ ทันสมัย มีแต่รถสปอร์ตอยู่เต็มไปหมด

หนึ่งในสุดยอดนักธุรกิจของประเทศนี้คือ “ลีกาชิง” เป็นผู้ที่คนฮ่องกงบ่อยครั้งเรียกว่า ซูเปอร์แมนเพราะความเก่งกาจทางธุรกิจของเขา

ครอบครัวของลีกาชิงอพยพจากจีนมายังฮ่องกงในปี 1940 พ่อของเขาตายตั้งแต่เขาอายุเพียง 15 ปี ทำให้เขาต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยทำงานหาเลี้ยงครอบครัว

ในปี 1950 ลีกาชิงเริ่มทำธุรกิจโรงงานพลาสติก และขยับขยายกลายเป็นโรงงานดอกไม้พลาสติกเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ

ลีกาชิงเริ่มหันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และปัจจุบันเขามีธุรกิจที่ครอบคลุมหลากหลาย อาทิ โทรคมนาคม การขนส่ง อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์

เขากลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยติดอันดับโลก จากเด็กที่ไม่มีต้นทุนชีวิตอะไรเลย

 

9) Larry Ellison – Oracle Corporation CEO

คนคนนี้ ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ หนึ่งในไอดอลของผมเอง ถ้าใครเป็นเด็กไอที ผมเชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก Oracle Database (Oracle RDBMS) ผมเองก็เป็นเด็กไอทีคนหนึ่งมาก่อน รู้ซึ้งเลยว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตัวนี้มันเทพมาก ราคาก็แพงมากด้วยเช่นกัน เมื่อก่อนผมใฝ่ฝันว่าซักวันต้องได้ทำงานบริษัทออราเคิล (Oracle) เพราะเป็นบริษัทระดับโลก เป็นนักขายที่นั่นเงินและค่าคอมฯ คงดีมากๆ แน่ๆ เลย (ฮา..)

นี่คือตัวอย่างของบุคคลที่ใช้มันสมองกับประสบการณ์ในการสร้างธุรกิจที่ไม่มีใครเป็นคู่แข่งได้ล้วนๆ และเหมาะสมกับเด็กรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันซึ่งไม่จำเป็นต้องมีฐานะดี ต้นทุนทางสังคมที่สูง ขอเพียงแค่คุณมีไอเดียและลงทุนซื้อคอมพิวเตอร์ถูกๆ ซักเครื่องนึง คุณก็สามารถเขียนโปรแกรมหาเงินได้แล้วครับ ถ้าทำดีเผลอๆ ฟลุ้กรวยได้เลย

แลร์รี เอลลิสัน ถือกำเนิดโดยที่แม่ของเอลลิสันนั้นเป็นชาวยิว ซึ่งขณะนั้นแม่ของเขายังไม่ได้แต่งงาน แต่กลับให้กำเนิดเด็กคนหนึ่งขึ้นมา ในภายหลังด้วยความไม่สะดวกทั้งปวงแม่ของเขาจึงยกให้เอลลิสันอยู่ในการดูแลของลุงกับป้าของเธอที่เมืองชิคาโก ซึ่งเป็นโชคดีของเอลลิสันที่ทั้งสองคนนั้นรักและดูแลเขาเป็นอย่างดี

หลังจากอยู่ในการอุปการะของลุงและป้า เอลลิสันก็เติบโตท่ามกลางสังคมชาวยิว จนกระทั่งเขาได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย ในช่วงนี้เองที่ชีวิตของเอลลิสันสู่จุดหักเหอีกครั้ง เนื่องจากว่ามารดาบุญธรรมของเขาเสียชีวิตลง ทำให้เขาต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย โดยหลังจากที่เขาลาออกจากมหาวิทยาลัยเดิมนี้ เขาได้กลับเข้าไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย University of Chicago ในช่วงเวลา 1 เทอม จากการศึกษาที่นี่เอง ทำให้เขาได้ค้นพบความน่าสนใจเกี่ยวกับการออกแบบทางคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรก แต่ทว่าแลร์รี่ เอลลิสันก็กลับต้องลาออกอีกครั้งเนื่องจากว่าเขาจำเป็นต้องอพยพไปอยู่ที่เมือง Northern California อย่างถาวร

แลร์รี เอลลิสันมาสู่จุดพลิกผันของชีวิตอีกครั้งหนึ่งเมื่อเขาได้ทำงานร่วมกันกับ Amex Corporation โดยที่นี่เองทำให้เขาได้มีโอกาสอยู่ในโปรเจ็คท์ในการพัฒนาฐานข้อมูลของ CIA โดยชื่อของโปรเจ็คท์นี้คือ Oracle (ออราเคิล) จากโครงการนี้ทำให้ชายหนุ่มได้รู้จักกับหนังสือที่มีชื่อว่า A Relational Model of Data for Large Shared Data Banks ซึ่งเป็นผลงานการเขียนของ Edgar f. Codd ซึ่งหนังสือเล่มนี้เองที่ทำให้เขาได้รับแรงบันดาลใจ จนก่อตั้งบริษัทออราเคิลเป็นของตนเอง โดยเอลลิสันนั้นใช้เงินของตนเองเพื่อการลงทุนถึง 1400 ดอลล่าร์

แลร์รี่ เอลลิสัน ได้ก่อตั้งบริษัท Relational Software Inc. ในปี 1979 ซึ่ง หลังจากนั้นผลิตภัณฑ์ฐานข้อมูล Oracle ก็กลับได้รับความนิยมขึ้นมา ซึ่งในส่วนนี้เองที่เขาต้องการพัฒนาฐานข้อมูล System R ให้กับ IBM แต่กลับถูกทาง IBM ปฏิเสธ แต่แลร์รี่ เอลลิสันก็ไม่ยอมแพ้ และสุดท้ายเขาก็ได้กลายเป็นเจ้าตลาดของฐานข้อมูลในที่สุดด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพฐานข้อมูลให้ดีมากยิ่งขึ้น

ในช่วงหนึ่งของชีวิต แลร์รี เอลลิสันได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของบริษัทคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนชื่อดังอย่าง Apple ในช่วงที่สตีฟ จอบส์ กลับมาทำงานที่บริษัท Apple อีกครั้ง แต่ทว่าเขากลับทำงานที่นี่ได้ไม่นาน เนื่องจากว่าเขาคิดว่าเวลาว่างของเขาไม่มากพอร่วมประชุมวาระสำคัญของบริษัทเท่าใดนัก

ปัจจุบันถือว่า แลร์รี่ เอลลิสันได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีฐานะเศรษฐีมากที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก โดยสำนักข่าวของประเทศสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่าเขาเป็นผู้บริหารที่มีรายได้มากที่สุดเลยทีเดียว

**อนึ่ง ถ้าใครเป็นแฟนบาสเก็ตบอลคงไม่รู้จักทีมโกลเดนสเตท วอร์รีเออร์ (Golden State Warriors) โคตรทีมยุคปัจจุบัน สนามเหย้าของทีมคือ “Oracle Arena” ซึ่งแลร์รี่ เอลลิสัน เป็นผู้สนับสนุนทีมเองนะจ้ะ**

 10) Do Won Chang – Forever 21

ใครที่ชอบซื้อเสื้อผ้าที่ร้านซาร่า (Zara) ร้านท็อปช็อป (Top Shop) ร้านแมงโก้ (Mango) คงไม่มีใครที่ไม่เคยชายตามองร้าน Forever 21 จริงไหมครับ

ส่วนตัวของผมเองรู้จักแบรนด์ซาร่าเป็นอย่างดี เจ้าของเป็นคนสเปนที่รวยมากๆ (ไว้มาเล่าให้ฟังครับ) และร้านท็อปช็อปก็เป็นแบรนด์จากประเทศอังกฤษที่เพื่อนผมนิยมกันมาก ตอนนั้นผมจึงฟันธงเลยว่า Forever 21 ทีเป็นสินค้าเกรดเดียวกับสองแบรนด์ข้างต้น ต้องมีเจ้าของเป็นฝรั่งยุโรปหรืออเมริกันแน่ๆ เลย แต่ใครจะเชื่อว่าจริงๆ แล้วเจ้าของเป็นชาวเอเชียเหมือนเรานี่แหละ แถมมาจากความยากจน ลำบากมาก่อนด้วย

เรื่องของคุณ Do Won Chang และ Jin Sook สองสามีภรรยาอพยพมาจากประเทศเกาหลีใต้เพื่อหาอนาคตที่ดีกว่าให้กับครอบครัว ทั้งสองเดินทางมาที่อเมริกาตัวเปล่าแต่เต็มไปด้วยความฝันที่จะก่อร่างสร้างตัวที่นี่

Do Won Chang ไม่มีทางเลือกเรื่องประเภทอาชีพมากนัก ทำให้เขาต้องทำงานพร้อมๆกันถึงสามงาน ได้แก่ ภารโรง, พนักงานในปั๊มน้ำมัน และพนักงานร้านอาหาร เขาทำงานแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพียงเพื่อพอหาเงินมายาไส้และจ่ายค่าเช่าห้องเล็กๆไปวันๆ

แต่ Do Won Chang และ Jin Sook ไม่ใช่คนย่อท้อต่อโชคชะตา เขาเห็นแล้วว่าการทำงานแบบนี้คงไม่ยั่งยืนเป็นแน่ เขาจึงมองหาลู่ทางใหม่พร้อมกับการฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองไปด้วย พวกเขายากจนเกินกว่าจะเสียเงินไปเรียนภาษา

เขากับภรรยาเห็นว่าแบบเสื้อผ้าที่อเมริกาดูแตกต่างจากแบบเสื้อผ้าที่เกาหลีมาก และที่อเมริกาก็มีคนเกาหลีรวมถึงคนเอเซียชาติอื่นอพยพมาอาศัยอยู่เยอะ ถ้าเอาแบบเสื้อผ้าแบบแปลกๆที่มีกลิ่นอายความเป็นเอเซียมาขายน่าจะขายได้ดี เขาจึงไปลองสมัครงานร้านเสื้อผ้าเพื่อหาประสบการณ์เผื่อว่าวันนึงเขาจะสามารถเปิดร้านของตัวเองได้

สองสามีภรรยาช่วยกันเก็บหอมรอมริบจนในที่สุดก็สามารถเช่าร้านเล็กๆเป็นของตัวเองได้ที่ Highland Park ตั้งชื่อร้านว่า Fashion 21

ด้วยความเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ร้านนี้จึงเติบโตและขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ทั้งสองทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้แบบเสื้อผ้าของพวกเขาล้ำสมัยและเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอ ต่อมาเขาเปลี่ยนชื่อร้านเป็น Forever 21 ที่พวกเรารู้จักกันดี

ปัจจุบัน Forever 21 มีร้านอยู่ประมาณ 500 สาขาใน 15 ประเทศรวมถึงประเทศไทยและยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยความประสบความสำเร็จนี้ Do Won Chang และ Jin Sook มีทรัพย์สินรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 170,000 ล้านบาท……

เทพโคตรๆ…

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น