12 สิ่งที่คนส่วนใหญ่มัก ‘เหมารวม’ นักขายเป็นประจำ [มาปรับทัศนคติใหม่กันเถอะ]

สมัยที่ผมเรียนจบและได้งานใหม่ๆ เวลามีญาติหรือเพื่อนมาถามผมว่าทำงานอะไร?
.
พอผมตอบไปว่า “ทำงานเป็นเซลล์ครับ” ส่วนใหญ่ก็จะอืมๆ แล้วทำหน้าเหยียดๆ นิดๆ (ฮา..)
.
ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่มัก ‘เหมารวม’ (Stereotype) อาชีพเซลล์และบางทีก็มองลบกับอาชีพนี้เป็นประจำ เช่น
.
เซลล์ต้องโม้เก่ง
เซลล์ต้องพรีเซนต์ตัวเองเก่ง เอาใจเก่ง พูดเก่ง
เซลล์ต้องเป็นพวกชอบเข้าสังคม
เซลล์ต้องมีความตอแหล
ฯลฯ
.
ซึ่งแต่ละอย่างที่ถูกเหมารวม ถ้าไม่นับเรื่องดีๆ ก็มักจะมีแต่เรื่องลบๆ ทั้งนั้นเลย T__T
.
ถึงตรงนี้ สิ่งที่คุณต้องทำและรับรู้คือโลกแห่งการขายนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว และอาชีพเซลล์นั้น ‘ไม่จริง’ อย่างที่คนส่วนใหญ่มักจะเหมารวมพวกเราเลย
.
อาชีพเซลล์สำหรับผมคืออาชีพที่ต้องเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ฉลาดรอบรู้ มีวินัย เป็นนักฟังและเป็นนักถามคำถามที่ดี มีความรู้ความเข้าใจในสินค้าว่าจะ ‘ตอบโจทย์’ ปัญหาของลูกค้าได้อย่างไรต่างหากล่ะครับ
.
ลองมาดู ‘ความคิดเหมารวม’ ที่คนส่วนใหญ่มองพวกเรา พร้อมกับทัศนคติใหม่ๆ เพื่ออธิบายให้พวกเขาทราบกันดีกว่า
.
#ว่าแล้วก็แชร์ให้คนทั่วไปได้ปรับทัศนคติกันด้วยนะครับ

1. นักขายส่วนใหญ่นั้นตอแหล!

 

หลายๆ คนมักจะคิดว่านักขายส่วนใหญ่เป็นพวกรับปากและชอบพูดว่า “ทำได้ครับๆ” ไว้ก่อน ทั้งๆ ที่บางทีตัวเองกับสินค้านั้นทำไม่ได้ เพื่อให้ลูกค้าซื้อและปิดการขายได้

[ปรับทัศนคติ]

จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยนะครับ เพราะการรับปากและทำไม่ได้ ตอแหลลูกค้าไปวันๆ สิ่งนี้จะเกิดผลเสียในระยะยาวกับการทำธุรกิจกับลูกค้า โดนถีบออกมาแน่นอน

ยิ่งในยุคนี้เป็นยุคโซเชี่ยลมีเดียเต็มรูปแบบ มีกระทู้พันทิปให้สร้างดราม่า ซึ่งถ้าเราไปทำเรื่องแย่ๆ เอาไว้ ตัวเราโดนด่ายังไม่พอ บริษัทเรายังโดนถล่มในโซเชี่ยลจนเละแน่นอน

ทุกวันนี้นักขายมืออาชีพ พวกเราจะทำงานด้วยความจริงใจกับลูกค้าเสมอ ตรงไปตรงมา ชัดเจน รับปากและต้องทำให้ได้ เพื่อให้เกิดการซื้อขายกันในระยะยาว

2. นักขายส่วนใหญ่นั้นโลภมาก!

ไม่มีใครปฎิเสธว่านักขายมี ‘แรงกระตุ้น’ ชั้นยอด นั่นก็คือยอดขายกับค่าคอมมิชชั่นเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายและปิดยอดขายให้ได้ 

แต่มันไม่เกี่ยวเลยว่านักขายเหล่านั้นที่ต้องการเงินจะต้องเป็นคนที่โลภมาก

[ปรับทัศนคติ]

นักขายเองก็ไม่ต่างกับอาชีพอื่นๆ คือทำงานเพื่อเงินที่ยุติธรรมและได้รางวัลในความสำเร็จต่างๆ

ซึ่งของอาชีพนักขายจะชัดหน่อยเพราะรางวัลก็คือค่าคอมฯ นั่นเอง

ถึงแม้ว่าเงินจะเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเงินจะทำให้นักขายมืออาชีพอย่างพวกเราเป็นคนโลภมากและขี้โกง เอาเปรียบในทุกๆ ครั้งนะครับ

3. นักขายนั้นเสียงดัง พูดไม่หยุด!

 
แม้ว่านักขายอย่างพวกเรามีความกล้าที่จะพูดกับคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะต้องเป็นคนโผงผาง พูดจาเสียงดัง พูดแบบน้ำไหลไฟดับ ช่างจ้อ พูดเก่งและพูดไม่หยุด

[ปรับทัศนคติ]

ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดของนักขายมืออาชีพอย่างพวกเราคือการฟังที่ดีต่างหาก โดยเฉพาะกับลูกค้า จากนั้นจึงเรียนรู้และเก็บข้อมูลความต้องการของลูกค้าที่ซ่อนอยู่

นักขายที่ยอดเยี่ยมคือนักขายที่ฟังมากกว่าพูด ดังนั้นพวกเราคือนักฟังนะครับ ไม่ใช่นักพูด

4. นักขายนั้นทำงานจนหัวฟูและดูชีวิตวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา!

หลายๆ คนอาจจะมองว่านักขายส่วนใหญ่จะดูเป็นคนที่ยุ่งอยู่ตลอดเวลา ทำงานไม่เป็นระบบ ดูล่กๆ ลนลานอยู่ตลอดเวลา

[ปรับทัศนคติ]

ไม่ใช่แน่นอนที่นักขายทุกคนจะเป็นแบบนั้น ทุกวันนี้นักขายมืออาชีพต้องการกระบวนการทางการขายที่ดี มีระบบการจัดการ และต้องมีวินัยการทำงานที่อยู่ในระดับสูง

ยิ่งยุคนี้มีเทคโนโลยีอย่าง Sales Force CRM ที่ช่วยให้นักขายวางแผนและอัพเดทสถานะลูกค้าแต่ละราย ทำให้พวกเขาทำงานได้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น

ทำให้ทำงานได้อย่างราบรื่น ไม่ติดขัด รู้ว่าแต่ละวันต้องทำอะไร และมีความตรงต่อเวลา

5. นักขายนั้นต้องเป็นคนประเภทชอบเข้าสังคมแบบสุดๆ (Extrovert)

 
ก่อนอื่นต้องขอบอกความหมายของคำว่า Introvert และ Extrovert กันก่อน เว้ากันซื่อๆ ก็คือ Introvert คือบุคคลที่ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม พูดน้อย เงียบๆ ส่วน Extrovert ก็ตรงกันข้ามเลย ชอบเข้าสังคม พูดเก่ง ชอบคุยกับคนแปลกหน้า

จึงไม่แปลกที่นักขายจะถูกเหมารวมว่าน่าจะอยู่ในกลุ่ม Extrovert คนที่เป็นนักขายนั้นต้องเป็นบุคคลประเภทนี้เท่านั้นแหงๆ

[ปรับทัศนคติ]

เชื่อไหมครับว่านักขายขั้นเทพที่แท้จริง มีแนวโน้มว่าเป็นกลุ่ม Introvert มากกว่า เพราะการที่พวกเขาพูดน้อย ต่อย (ถาม) หนักนี่แหละ ทำให้พวกเขาเป็นผู้ฟังที่ดีและนำเสนอสิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ผลกว่าพวก Extrovert เสียอีก

เพราะจุดอ่อนของ Extrovert คือบางทีพูดมากไปแถมพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานด้วยซ้ำ ทักษะการฟังก็จะแย่ตาม ทำให้ไม่ทราบว่าลูกค้าต้องการอะไรกันแน่

6. นักขายส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยฉลาด แค่โม้เก่งๆ ก็ขายของได้

คนส่วนใหญ่มักจะ ‘ตัดสิน’ นักขายว่าไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง เกรดสูง เพียงแค่เป็นคนที่โม้เกี่ยวกับสินค้าเก่งๆ ตื๊อหน่อยๆ พูดเยอะๆ ก็ขายของได้แล้ว

[ปรับทัศนคติ]

ไม่จริงเลยสำหรับเรื่องนี้ ทุกวันนี้นักขายมืออาชีพจะมีความฉลาดทางสมองและอารมณ์ มีไหวพริบ มีการวางแผนกลยุทธทางการขายอยู่เสมอ เพื่อขจัดข้อโต้แย้งและนำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์

บางทีถึงกับต้องคำนวณจุดคุ้มทุนในการซื้อให้ลูกค้าด้วยซ้ำ ซึ่งมันไม่ใช่งานง่ายๆ ที่คนไม่เก่ง ก็ทำได้เด็ดขาด อาชีพนักขายต้องการทักษะและความรู้ในระดับสูง ถึงจะเป็นนักขายที่ดีได้

7. นักขายส่วนใหญ่นั้นดูเคร่งเครียดและดูกดดันตลอดเวลา

 

เรื่องนี้ต้องขอยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง เพราะนักขายต้องทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความกดดันสูงรอบทิศทาง ตั้งแต่ลูกค้า ทีมงาน หัวหน้า แถมบางทียังมีเรื่อง ‘เส้นตาย’ กับเป้ายอดขายเข้ามาอีก อย่างนี้จะไม่ให้เครียดก็คงกะไรอยู่เนอะ 

[ปรับทัศนคติ]

แต่ก็ไม่ได้หมายว่านักขายมืออาชีพจะโยนความเครียดและความกดดันมาที่คุณนะครับ นักขายมืออาชีพจะรู้ธรรมชาติของการขายอยู่แล้ว มีชนะก็ต้องมีแพ้ เป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาจะละทิ้งความเครียดและเริ่มต้นกับการขายครั้งใหม่ได้อยู่ดี

8. นักขายส่วนใหญ่นั้นมักจะทำเพื่อตัวเองอย่างเดียวและเห็นแก่ตัว

 
เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าเป็นแค่บางคนเท่านั้น อาจเป็นเพราะนักขายต้องทำงานให้ดีที่สุดเพื่อ ‘ขาย’ ให้ได้มากที่สุด ทำให้บางทีต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอายอดขายกลับมาให้ได้ จนเกิดผลกระทบกับทีมงานทุกฝ่าย และถูกมองว่าทำเพื่อตัวเองอย่างเดียว

[ปรับทัศนคติ]

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านักขายที่หิวยอดขนาดหนักจะต้องเป็นคนที่เห็นแก่ตัว นักขายมืออาชีพจะเป็นคนที่ยืดหยุ่นและช่วยเหลือทีมงานทุกฝ่ายอย่างจริงใจเพื่อบรรลุเป้าหมายให้ได้ ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมงาน

ทักษะการชอบช่วยเหลือผู้อื่นนี่แหละที่ทำให้นักขายมืออาชีพสามารถ ‘ส่งมอบ’ ความช่วยเหลือนี้ต่อลูกค้าด้วยสินค้าที่พวกเขาเชื่อมั่นว่าตอบโจทย์และช่วยเหลือให้ชีวิตของลูกค้าดีขึ้น แก้ปัญหาทางธุรกิจของลูกค้าได้ง่ายขึ้น

9. นักขายส่วนใหญ่นั้น มักจะเป็นคนที่ดูก้าวร้าวทุ่มเทเกินเหตุ

 
ภาพนี้มักจะถูกฉายอยู่ในหนังเป็นประจำ โดยเฉพาะนักขายที่ขายผ่านโทรศัพท์ ตัวอย่างเช่น ฉากขายหุ้นของหนังเรื่อง The Wolf of Wall Street ที่แต่ละคนดูก้าวร้าว บ้วนคำหยาบให้คนอื่นได้ยินตลอดเวลา

หรือบางทีก็ทุ่มเทกับลูกค้าที่ยังไม่ซื้อซักทีแบบเกินเหตุ จนกลายเป็นเรื่องเสียเวลาแบบสุดๆ ไม่ได้ไปขายที่ใหม่ต่อซักที

ผมไม่ปฎิเสธครับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงสำหรับนักขายบางท่านเท่านั้น เพราะบางทีนักขายบางท่านก็ลืมตัว เผลอพูดกับลูกค้าด้วยความตั้งใจที่อยากได้ยอดขายมากเกินไป จนกลายเป็นความกดดัน น้ำเสียงเริ่มก้าวร้าว ทุ่มเทตามตื๊อในการขายแต่ละครั้งมากเกินไป

[ปรับทัศนคติ]

นักขายมืออาชีพจะรู้ดีว่าความก้าวร้าวทุ่มเทเกินเหตุ ทั้งกับทีมงานและกับลูกค้า ถ้าใช้เวลามากเกินไปและยังปิดการขายไม่ได้ พวกเขาจะยอมทิ้งและหาลูกค้าใหม่ทันที ทำให้ไม่เสียเวลาและอารมณ์ในการทำงาน

10. นักขายส่วนใหญ่นั้นโดนไล่ออกง่ายและเปลี่ยนงานบ่อยมาก

 
เรื่องนี้เป็นความจริงเฉพาะกับนักขายที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ทำงานไม่เป็น ไม่เก่ง เท่านั้น ซึ่งอาชีพอื่นก็เป็นแบบนี้ด้วยเหมือนกัน ใครไม่ได้เรื่องก็ต้องโดนไล่ออกและเปลี่ยนงานอยู่แล้ว

[ปรับทัศนคติ]

นักขายขั้นเทพจะเป็นมนุษย์ทองคำที่ใครก็อยากได้ตัวอยู่แล้ว และพวกเขาจะเปลี่ยนงานกลางคันยากมาก ตราบใดที่ยังทำภารกิจและโกยเงินเข้ากระเป๋าไม่เรียบร้อย (ฮา..)

ที่สำคัญคือนักขายระดับสูง การจะหาคนมาแทนที่พวกเขานั้นไม่ง่ายเลย เพราะกว่าจะได้นักขายขั้นเทพเข้ามาเป็นกองหน้าตัวกลั่นให้กับองค์กรนั้นมันช่างยากเย็นแสนเข็ญ ดังนั้นบริษัทจะต้องรั้งพวกเขาด้วยค่าเหนื่อย ผลประโยชน์ เพื่อเก็บกองหน้าคนนี้เอาไว้ให้นานที่สุด

11. นักขายส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยมีความจงรักภักดี

 
เรื่องนี้ก็คล้ายๆ กับข้อ 10 คือคนส่วนใหญ่มักคิดว่านักขายใจง่าย นึกจะเปลี่ยนงานก็เปลี่ยน ตราบใดที่มีที่อื่นให้เงินได้มากกว่าก็ย้ายงานแล้ว

[ปรับทัศนคติ]

เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะอาชีพอื่นก็มีสิทธิ์ย้ายงานด้วยเงื่อนไขเรื่องเงินเหมือนกัน

แต่ปัจจัยในการย้ายงานมันไม่ใช่แค่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่ต้องมีเรื่องอื่นประกอบด้วย เช่น เรื่องหัวหน้า ทีมงาน วิสัยทัศน์ของบริษัท ฯลฯ

ถ้านักขายมืออาชีพได้ทำงานกับทีมงานที่ดี หัวหน้าที่ยอดเยี่ยม องค์กรที่มีอนาคต ความจงรักภักดีก็จะเกิดขึ้นมาเองจากจุดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องเงินอย่างเดียว อาชีพอื่นก็เช่นกัน

12. นักขายส่วนใหญ่นั้นเชื่อถือไม่ค่อยได้

ถ้าคุณกำลังเจอกับนักขายที่เห็นแก่ตัว ตอแหล ไม่จงรักภักดีและมีแต่ความโลภ คุณก็คงรู้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้มันคบไม่ได้ เชื่อถือไม่ค่อยได้

จงหลีกให้ห่างจากกลุ่มคนเหล่านี้ซะ และหันมามองนักขายที่ทำงานตรงกันข้ามกับกลุ่มคนข้างบนเพื่อซื้อสินค้าและบริการจากพวกเขา

[ปรับทัศนคติ]

นักขายมืออาชีพสามารถทำให้คุณเชื่อถือได้แน่นอน เพราะพวกเขารู้ดีว่าต้องนำเสนอหรือช่วยเหลือส่วนไหนถึงจะตรงกับความต้องการและเกิดประโยชน์สูงสุดกับคุณ พวกเขาจะสร้างเงื่อนไขการซื้อขายให้วิน-วิน ทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครเสียประโยชน์หรือถูกเอาเปรียบ

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะลบล้างการถูกเหมารวมไปได้ไม่มากก็น้อยครับ (ยิ้ม..)

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น