5 สุดยอดหนังกระตุ้นกำลังใจนักขาย

วันอาทิตย์สบายๆ สถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจหลายๆ อย่างเริ่มเดินเครื่องได้อย่างเต็มกำลังบ้างไม่มากก็น้อย ผมจึงอยากให้ทุกคนผ่อนคลายด้วยการดูหนัง ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมการขายที่ผมมักทำเป็นประจำ เพราะการดูหนังได้อะไรมากกว่าความบันเทิง 

ผมพูดได้เลยว่าทักษะการขายและกำลังใจที่ยอดเยี่ยมนั้นมาจากหนังดีๆ ที่ผมโตมาด้วยกัน หนังหลายๆ เรื่องมีอายุมากว่า 20 ปี ด้วยซ้ำ ดูแล้วมีกำลังใจเพิ่มขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แถมยังได้ข้อคิดจากหนังและเอามาใช้กับการขายในโลกของความเป็นจริงได้อีกด้วย จึงขอแนะนำ 5 สุดยอดหนังสำหรับนักขายและนักธุรกิจกันเลยครับ

1. The Wolf of Wall Street

เฟซบุ้ค “กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้าน” ดังได้เพราะเขียนบทความจากหนังเรื่องนี้ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณคนสร้างหนังดีๆ แบบนี้จากอีกซีกโลกหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่รู้จักผมก็ตามนะครับ (ฮา) เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตจริงของ Jordan Belfort สุดยอด Sales Trainer อันดับหนึ่งของโลกในชีวิตจริง (แกว่างั้นนะ) ความมันส์ของหนังเรื่องนี้คือเล่าตั้งแต่ช่วงแกทำงานใหม่ๆ จนถึงขั้นตกงานช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ จากนั้นก็ออกมาตั้งบริษัท Broker โดยสร้างทีมขายขึ้นมาเอง ความเทพจากหนังคือสคริปต์การโทรขายหุ้นที่เป็นที่น่าจดจำ การนำเสนอขายและทฤษฎีผลประโยชน์ต่างๆ นานาที่จะให้เล่าประมาณ 3 หน้าก็คงเล่าไม่หมด บทพูดโดนใจที่ผมจำได้ไม่รู้ลืมคือ

“Sell me this pen…จงขายปากกาให้ผมหน่อย”

“ถ้ามึงเป็นหนีบัตรเครดิต ดี จงกดปุ่มโทรศัพท์ซะ ถ้ามึงกำลังโดนไล่ที่ ดี จงกดปุ่มโทรศัพท์ซะ ถ้าแฟนมึงบอกว่ามึงมันขี้แพ้ กระจอก ดี จึงกดปุ่มโทรศัพท์ซะ กูอยากให้มึงแก้ปัญหาด้วยการเป็นคนรวย!”

“อุปสรรคเดียวของการขายคือลูกค้าไม่เชื่อถือมึง” 

2. The Pursuit of Happyness

สุดยอดหนังขึ้นหิ้งจากชีวิตจริงของ Chris Gardner ลุงผิวสีซึ่งต้องนี้เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ชีวิตแกไล่ตั้งแต่การเป็นเซลล์แมนขายเครื่องสแกนกระดูกพร้อมกับเลี้ยงลูกชายกับภรรยา อุปสรรคสำคัญคือขายไม่ได้เลย โดนไล่ที่ ไม่มีซุกหัวนอน ต้องไปนอนตามบ้านเมตตาฯ ทางรอดสุดท้ายคือการจับพลัดจับผลูมาฝึกงานอยู่ในบริษัทค้าหุ้น แถมยังไม่ได้เป็นลูกจ้างประจำ ต้องผ่านการอบรมเพื่อคัดเลือกให้เป็นพนักงานประจำแค่คนเดียวจากผู้สมัครเป็นสิบๆ ความสุดยอดของหนังเรื่องนี้คือตอนโทรหาลูกค้าที่ไม่รู้จัก (Cold-Calling) ซึ่งเทคนิคคือปริมาณการโทรและความกล้าที่จะโทรหาบุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจไปเลย

พูดได้เลยว่าผมดูจบปุ๊บ ผมกล้ากดปุ่มโทรหา CEO, C-Level แบบไม่เกรงกลัวการโดนปฎิเสธ สุดท้ายผมก็ได้นัดกับบุคคลระดับนั้น การปิดการขายเลยง่ายขึ้นเป็นกอง ผมเปลี่ยนเป็นคนละคนจากการดูหนังเรื่องนี้ จึงอยากให้นักขายทุกคนเข้าไปดูฉากการโทรทำนัดซึ่งผมบอกได้เลยว่านี่คือชีวิตจริงของเหล่าท็อปเซลล์ซึ่งน่าจะผ่านประสบการณ์ความยากลำบากแทบทุกคน แถมหนังเรื่องนี้ยังเป็นหนึ่งในหนังที่ทำให้ลูกผู้ชายเสียน้ำตาได้ไม่แพ้หนังรักหลายๆ เรื่องเลยล่ะครับ

3. วัยรุ่นพันล้าน (Top Secret)

หนังจากชีวิตจริงของพี่ต๊อบ เถ้าแก่น้อย ไอดอลยุค Gen-Y ของพวกผมเลย เนื่องจากเป็นชีวิตจริงของบุคคลที่มีชีวิตคล้ายๆ ผมนั่นก็คือสมัยเรียนเอาแต่เล่นเกม เรียนก็ไม่ได้เรื่อง น่าจะเป็นพวก Loser ของแท้เลย สำหรับคนยุคผม Gen-Y มีหลายๆ คนที่มุ่งมั่นอยากเป็นเจ้าของกิจการอายุน้อย หนังเรื่องนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจว่ากว่าจะมาเป็นแบรนด์เถ้าแก่น้อยที่โด่งดังทั่วโลกนั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง ผมคงไม่ลงรายละเอียดมากนะครับ แก่นแท้สำคัญจากหนังเรื่องนี้คือการขายเข้า Moderntrade อย่างห้างหรือเซเว่นนั้นต้องทำอย่างไร ผมเชื่อว่าแบรนด์สินค้าหลายแบรนด์ที่วางขายในเซเว่นได้รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ทั้งนั้น

4. Glengarry Glen Ross

เรื่องนี้ถ้าไม่ใช่คอหนังจริงๆ นั้นคงไม่รู้จักแน่ๆ หนังเรื่องนี้เป็นหนังหายากซึ่งผมก็อยากให้ทาง Netflix เอาเข้ามาฉายจริงๆ แนะนำเลยว่าต้องดูเพราะนักแสดงคือระดับลุงๆ สุดยอดของวงการฮอลลีวูดทั้งนั้น เนื้อหานั้นดาร์คและสมจริงมากๆ สำหรับชีวิตเซลล์แมนสมัยก่อนที่ทุกอย่างคือตัวเลข แถมสังคมอเมริกานั้นชัดเจนคือผู้แพ้ก็ตกงาน ส่วนผู้ชนะก็ประสบความสำเร็จ หนังเล่าถึงชีวิตทีมขายที่แต่ละคนหาตัวเลขไม่ได้ จนกระทั่งบริษัทแม่ได้ส่งผู้จัดการฝ่ายขายมาจัดการกับนักขายผลงานห่วยเหล่านี้ซะ คุณจะเห็นการเอาตัวรอดของนักขายแต่ละคนเลยแบบไม่มีอ้อมค้อม หนังเรื่องนี้ผมกล้าพูดเลยว่าควรให้ลูกน้องคุณดูเพื่อจะให้เห็นว่าอะไรควรทำหรืออะไรไม่ควรทำ

5. Jerry Maguire

ถ้าคุณเป็นแฟนทอม ครูซ คุณน่าจะเคยดูหนังเรื่องนี้ คุณอาจจะแปลกใจว่าแกรับเล่นบทเซลล์แมนได้อย่างไร เพราะหนังส่วนใหญ่ของลุงทอมมักเป็นหนังแอคชั่น สายลับ หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องชีวิตเอเย่นนักกีฬา (นายหน้า) ซึ่งเมื่อก่อนฝีมือแกเจ๋งมาก แต่กลับถูกบริษัทถีบออกมาเพราะไม่พอใจความเอาแต่ได้ของบริษัทที่ไม่สนใจชีวิตและสุขภาพของนักกีฬา เจอรี่ แมคไวร์ จึงตั้งบริษัทและเลือกที่จะดูแลผลประโยชน์ของนักกีฬาจอมป่วนเพียงแค่คนเดียว ความยอดเยี่ยมของเรื่องนี้คือการสร้างความน่าเชื่อถือและการดูแลผลประโยชน์ของลูกค้า ความยั่งยืนของธุรกิจจะเกิดได้ย่อมมาจากการตอบสนองความพึงพอใจลูกค้าสูงสุด

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น