Pay it Forward พลังของคำว่าคอนเนคชั่น

คอนเนคชั่น (Connection) ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสำหรับโลกแห่งการขายและธุรกิจนั้นมันสำคัญขนาดไหน คุณจะเรียกว่าคอนเนคชั่นหรือ “เส้น” (ฮา) หรืออะไรก็ตามแต่ ยังไงคุณก็ปฎิเสธไม่ได้หรอกครับว่าคนเราย่อมอยากทำการค้าหรือทำธุรกรรมใดๆ กับคนที่เรารู้จักและไว้ใจก่อนเสมอ 

คิดง่ายๆ ว่าคุณอยากซื้อสินค้าหรือคุยกับคนที่คุณรู้จักมากกว่าคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว หรือการขอความช่วยเหลือใดๆ ก็ตามที่มีคนรู้จักเยอะๆ ไว้ย่อมดีแน่นอน ผู้ใหญ่สมัยก่อนเคยพูดว่าคุณต้องมีเพื่อนซี้ 3 อาชีพ คือ “ตำรวจ หมอ ทนาย” ซึ่งก็แปลความได้ไม่ยากว่าเวลาคุณมีปัญหาก็อุ่นใจ ตามสาขาอาชีพของเพื่อนเลยล่ะครับ

จึงไม่แปลกที่ครอบครัวหรือตระกูลนักธุรกิจมักจะนิยมฟูมฟัก “ทายาทธุรกิจ” ให้ร่ำเรียนสถาบันที่สร้างคอนเนคชั่นชีวิตตั้งแต่เด็ก ไล่ตั้งแต่โรงเรียนเอกชนชื่อดังที่ตระกูลพ่อค้านิยมส่งมาเรียน มหาวิทยาลัยชั้นนำที่เกี่ยวข้องกับบริหารธุรกิจ หรือมหาวิทยาลัยระดับโลกที่เปิดสอนธุรกิจและเพื่อไปเอาคอนเนคชั่นระดับโลก 

นี่เป็นแค่ตัวอย่างจากแวดวงการศึกษาเท่านั้นนะครับ ยังมีวิธีการสร้างคอนเนคชั่นอีกหลายรูปแบบ เช่น สมาคมธุรกิจ หลักสูตรสัมมนาทางธุรกิจ สมาคมจักรยาน ฯลฯ แม้แต่ “การเข้าวัดเข้าวา” กับทริปทำบุญ ก็ถือว่าเป็นการสร้างคอนเนคชั่นที่มีกิจกรรมร่วมกัน คุณคิดว่าสมัยก่อนทำไมคนรวยนามสกุลดังถึงนิยมไปวัดพระธรรมกายกันล่ะครับ 

ถึงตรงนี้คุณคงรู้แล้วว่าคอนเนคชั่น สำคัญไฉน โดยเฉพาะโลกแห่งการขาย ผมจึงขอหยิบหนังที่ผมเคยดูชื่อว่า “Pay it Forward” ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจได้ดีเยี่ยมและผมอยากให้ทุกคนลองหามาดูนะครับ เพราะคอนเนคชั่นในหนังเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าเอาไว้หาเงินเพียงอย่างเดียว เรื่องราวมีดังนี้

Pay it Forward “คิดวิธีที่จะทำให้โลกดีขึ้น”

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเด็กชายประถมปลายคนหนึ่งที่ชื่อ Trevor McKinney (Haley Joel Osment) ซึ่งอยู่ในชั้นเรียนของคุณครูที่ชื่อ Eugene Simonet (Kevin Spacey) เป็นคุณครูสอนวิชาสังคมศึกษา โดยทั้งชั้นเรียนรวมถึง Trevor ได้รับการบ้านชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่ง โดยโจทย์ก็คือ “คิดวิธีที่จะทำให้โลกดีขึ้น”

เด็กน้อย Trevor นั่งคิดในใจอยู่ตลอดว่า “เด็กอายุ 11 จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไร?” แต่เขาก็ได้คิดและทดลองหลายสิ่งหลายอย่างจนได้ทฤษฎีหนึ่งขึ้นมาก็คือ “Pay It Forward” หรือก็คือ “การจ่ายล่วงหน้า” โดยทฤษฎีมีว่า…

“จะต้องทำดีที่ยิ่งใหญ่มากๆ ส่งต่อให้คนอื่นต่อไปอีก 3 คน เป็นสิ่งที่เค้าไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ แล้วคนที่ได้รับความช่วยเหลือ ก็ให้ส่งต่อความดีต่อไปอีกคนละ 3 คน ในสิ่งที่คนได้รับความช่วยเหลือ มันก็เหมือนการจ่ายล่วงหน้าไปแล้ว…”

แน่นอนว่าเด็กอายุ 11 ทั้งห้องเกิดเสียงหัวเราะ และเกิดเสียงแตกต่างกันในหลายๆ แบบ หลายๆ ความหมาย แต่แล้วหลังจากนั้นเรื่องราวของการส่งต่อก็เกิดขึ้น ความดีถูกส่งต่อ แพร่กระจายไปในคนหลายๆ ชนชั้น หลายๆ รูปแบบ แตกต่างกันออกไป แต่ด้วยจุดประสงค์เดียวคือการ “ทำความดี” จนในตอนสุดท้ายมีคนมากมายทั่วอเมริการู้จักกับเด็กน้อย Trevor คนนี้…

ผมจึงขอนำสิ่งที่ประทับใจจากหนังเรื่องนี้ว่าเด็กเพียงแค่อายุ 11 สามารถส่งต่อความดีในรูปแบบของความปรารถนาและความหวังดีต่อผู้อื่นจนทำให้ตัวเองได้คอนเนคชั่นทั้งอเมริกาได้อย่างไร และสิ่งนี้สามารถช่วยให้คุณสร้างคอนเนคชั่นแบบไร้ขีดจำกัดจนมีแต่ลูกค้าหน้าใหม่เป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาคุณ หลักการก็คือ

“การทำให้ลูกค้าบอกต่อเกี่ยวกับคุณในด้านดี”

ใช่ครับ ลูกค้าบอกต่อคือที่สุดของคอนเนคชั่นเลยก็ว่าได้ ไม่จำเป็นต้องเรียนจบมหาลัยดัง เกิดมาในตระกูลร่ำรวยนามสกุลดัง ลงทุนกับตัวเองเป็นล้านเพื่อให้ได้มาซึ่งคำว่าคอนเนคชั่น เพียงแค่คุณเป็นนักขายหรือนักธุรกิจที่ตั้งใจจะมอบสินค้าและงานบริการที่ดีที่สุด เอาใจใส่ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอจนลูกค้าเอ่ยปากชม หรือวัดผลจากการกระทำของพวกเขาได้ว่าพวกเขาชอบคุณมากๆ ด้วย “การซื้อซ้ำ” คุณก็จะสามารถสร้าง Pay it Forward ของคุณเองได้ ซึ่งวิธีการทำให้ลูกค้าบอกต่อมีดังนี้

1. ต้องมั่นใจว่าลูกค้าชอบคุณและลูกค้ามีอำนาจตัดสินใจกับมีเชื่อเสียงก็ยิ่งดี

2. เอ่ยปากบอกพวกเขาไปว่าคุณจะมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดราวกับที่เขาได้รับให้กับคนรู้จักของพวกเขา

3. ขอให้พวกเขาบอกต่อ (Refer) ไปยังคนที่ลูกค้ารู้จัก เช่น เจ้าของบริษัทย่อมรู้จักคู่ค้าที่คล้ายๆ กัน เป็นต้น

4. ลูกค้าที่ชอบคุณย่อมเห็นสิ่งที่คุณ Pay นั่นก็คือความทุ่มเทและมอบสินค้าที่ดี จากนั้นก็ Forward ไปยังคนรู้จักของพวกเขา ซึ่งพวกเขายินดีที่จะให้ทั้งเบอร์โทร ชื่อ เผลอๆ โทรนัดให้เองเลยครับ

นี่คือ Pay it Forward ที่ได้ผลยอดเยี่ยมและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคุณในฐานะสุดยอด Connection ที่คุณไม่ต้องเสียเวลานานในการหาลูกค้าใหม่ ลูกค้าบอกต่อคือบทพิสูจน์ของคอนเนคชั่นในมือและตัวตนของคุณว่ามีความยอดเยี่ยมที่สุดครับ

ขอบคุณที่มาบางส่วนจาก: https://bit.ly/2YUNuIa

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น