10 อันดับ สิ่งที่คุณทำแล้วต้องเสียใจภายหลังเมื่ออายุมากขึ้น

 

วันเวลา 365 วันนั้นหมุนไปเรื่อยๆ แล้วก็ผ่านไปอีกครั้ง ผมยังรู้สึกว่ามันเร็วมาก รู้สึกเหมือนว่าผ่านไปแป๊ปเดียวจริงๆ ครับ

 

ตัวเลขในปฎิทินที่เพิ่มขึ้น หมายถึงอายุของคุณเองที่เพิ่มมากขึ้น ลองเอาเวลามานั่งคิดทบทวนว่าตลอด 1 ปีที่ผ่านมา คุณได้ลงมือทำตามเป้าหมายได้สำเร็จลุล่วงแล้วหรือยัง หรือลองหันมาทบทวนสิ่งที่คุณได้เคยทำลงไป แล้วจะได้ไม่เสียใจภายหลัง

 

เนื่องในโอกาสที่อายุคุณจะขยับเพิ่มขึ้นอีกปี ผมจึงมี 10 สิ่งที่คุณต้องเสียใจที่เคยลงมือทำเมื่อคุณอายุเพิ่มมากขึ้นหรือแก่ขึ้น ผมคิดว่าคุณจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน

อันดับที่ 10. คุณไม่ตั้งใจเรียนสมัยที่เคยเป็นนักเรียนนักศึกษา

 

คุณคงเห็นด้วยกับผมนะครับว่าบรรดาสุดยอดเพื่อนที่มีผลการเรียนที่ดีเยี่ยมในวัยเด็ก วัยนักศึกษา เป็นเพราะพวกเขาขยันหมั่นเพียร ตั้งใจเรียนอย่างหนัก เรียกได้ว่าเรียนกันไปได้ยังไง วิชาแต่ละวิชาก็ยากเย็นแสนเข็ญ น่าเบื่อ แถมหลายๆ วิชาก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในชีวิตจริงด้วย เช่น คณิตศาสตร์ เคมี ชีวะ ฟิสิกส์ ฯลฯ 

 

แต่คงปฎิเสธไม่ได้ว่าในระยะยาว การตั้งใจเรียนและมีผลการเรียนที่ดีส่วนใหญ่แล้วจะทำให้คุณสามารถเข้าเรียนในมหาลัยชั้นนำ คณะดัง หางานดีๆ ทำได้ง่าย แถมยังเป็นพื้นฐานที่ดีในการเริ่มก้าวสู่การเป็นวัยผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ความรู้นี่แหละครับคือพลังงานที่ไม่มีอันสิ้นสุด

 

ต้องยอมรับว่าคนที่ไม่ตั้งใจเรียนในวัยเด็ก ใช้เวลาหมดไปกับการตีรันฟันแทง กินเหล้า ม่อหญิงไปวันๆ ส่วนใหญ่จะ “พลาดโอกาส” ทางการศึกษา ขาดต้นทุนชีวิตที่ดีไป ทำให้ตอนก้าวสู่โลกแห่งการทำงาน ถ้าไม่ได้บ้านรวยมาก่อน พวกเขามักจะขาด “แต้มต่อ” ในการสมัครงานช่วงเริ่มต้นต่อคนที่มีผลการเรียนที่ดี จบมหาลัยดัง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

 

สุดท้ายก็ต้องยอมรับถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจเรียนให้หนักมาก่อน คุณจะพลาดโอกาสสำคัญในช่วงการหางานทำนี่แหละครับ ไม่ต้องโทษโชคชะตาฟ้าดินแต่อย่างใด เพียงแค่อาจเป็นเพราะสมัยเด็กๆ พ่อแม่หรือคุณครูสั่งให้ตั้งใจเรียนหนังสือ แต่คุณนั่นแหละที่ไม่ตั้งใจเรียนเอง ยังไงก็ไม่ต้องห่วงนะครับ รู้ตัวและลงมือทำให้หนักตอนทำงานก็ยังไม่สายเกินไป ชีวิตสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ 

 

อันดับที่ 9. รอยสักที่คุณไปสักมาตอนเด็ก

 

สมัยวัยรุ่นแห่งความคึกคะนอง อาจมีบางคนที่เคยไปสักตามร่างกายด้วยเหตุผลเรื่องแฟชั่น ความเป็นตัวของตัวเอง ความเชื่อ หรืออะไรก็ตามแต่ ผมไม่เถึยงว่าสมัยวัยเรียน มันเท่ห์จริงๆ ครับ แต่ถ้าคุณต้องการหางานทำที่มีโอกาสที่เปิดกว้าง โดยเฉพาะสายงานราชการหรืองานที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง การที่คุณไปสักตามร่างกายในจุดที่โดดเด่นจนเกินพอดี เช่น ใบหน้า ลำคอ แขน หน้าอก ฯลฯ จะลดโอกาสในการได้งานของคุณไปเยอะเลยทีเดียว โดยเฉพาะสายงานที่อยู่ในระบบ เช่น B2B ราชการ องค์กร ธนาคาร เป็นต้น 

 

การสักตามร่างกายด้วยรอยสักขนาดใหญ่ตามร่างกาย เช่น บริเวณบั้นท้าย แผ่นหลัง หน้าอก ฯลฯ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณต้องคิดเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เพราะถ้าคุณคุมน้ำหนักได้ไม่ดี อ้วนขึ้น รอยสักพวกนั้นจะเสียรูปทรงตามไขมันของคุณไปด้วย รอยสักเท่ห์ๆ จะกลายเป็นรอยสักพิลึกกึกกือในทันที ที่สำคัญคือการ “ลบรอยสัก” เมื่อคิดได้ตอนโต นอกจะจะเจ็บแล้ว ค่าใช้จ่ายยังสูงมากอีกด้วย แถมยังลบออกยากอีกต่างหาก

 

อันดับที่ 8. ทำงานหนักเกินไป

 

นี่คือสิ่งที่ผมเห็นจากคนรุ่นเก่า ตั้งแต่ Gen-X ขึ้นไป ที่ทำงานอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือจากในหนังก็ตาม สิ่งที่ผมเห็นก็คือพวกเขาไม่ได้มีความสุขกันเท่าไหร่เลย ถึงแม้ว่าจะประสบความสำเร็จก็ตาม หลายๆ คนทำงานอย่างหนักจนไม่มีเวลา สุขภาพย่ำแย่ สถาบันครอบครัวแตกแยก เซ็กส์ไม่ได้เรื่อง เมียมีชู้ ลูกกลายเป็นเด็กมีปัญหา ฯลฯ นี่คือสิ่งที่ “คนบ้างาน” มักจะไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่ลุ่มหลงมัวเมากับการทำงานและความสำเร็จ (เล็กๆ) ที่บางที่ก็คิดไปเองเท่านั้น

 

การทำงานที่ดีคือการแบ่งเวลาอย่างมีประสิทธิภาพในเรื่องการทำงาน แบ่งเวลาให้กับคนที่รัก และแบ่งเวลาให้กับ “ตัวเอง” ได้อย่างลงตัว มีกิจกรรมนอกจากการทำงานที่เป็นการรีเฟรชสมองให้ปลอดโปร่งอยู่เสมอ เช่น การปั่นจักรยาน เล่นกีฬา ท่องเที่ยว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณมีชีวิตที่ยืนยาว มีความสุขมากขึ้น เชื่อผมเถอะครับ บ้างานมากไปก็ไม่ได้ทำให้คุณรวยขึ้นหรอก เพราะคุณไม่ได้เอาเวลาไปพัฒนาตัวเองด้านอื่นและทำอย่างไม่มีความสุข

 

อันดับที่ 7. คุณแคร์คำพูดของคนอื่นมากเกินไป

 

ผมขอเรียกข้อนี่ว่า “ผู้หวังดี” ทั้งหลายนั่นเอง คนพวกนี้จะหวังดีกับคุณมากๆ เวลาที่คุณตั้งใจจะทำอะไรซักอย่างนึง โดยมักจะบอกคุณว่า “ทำไม่ได้หรอกกกก…” (ฮา) ไอ้คนพวกนี้มันหวังดีกับคุณนะถึงบอกว่าคุณทำไม่ได้ นี่คือคำพูดที่คอยขัดขวาง “พรสวรรค์” “ความคลั่งไคล้” “ความรักและชอบ” ในสิ่งต่างๆ ที่คุณมีหัวใจให้กับมัน เช่น คุณมีพรสวรรค์และเล่นกีตาร์เก่งตั้งแต่เด็ก แต่คนรอบข้างมักจะบอกคุณว่า “คุณทำไม่ได้หรอก อย่าทำเลย ตั้งใจเรียนดีกว่า” (คุ้นๆ ไหมครับ) ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นคำพูดจากพ่อแม่ของคุณด้วยซ้ำ 

 

พ่อแม่ของผมก็เคยบอกกับผมว่าอย่าทำอาชีพนักขายเลยหรืออย่าฝันที่จะเป็นคนรวยเลย ทำไม่ได้หรอก เพราะบ้านเราไม่รวย อะไรทำนองนี้ ถ้าผมแคร์คำพูดของพ่อแม่และ “กลัว” ที่จะปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระแล้วลงมือทำมากเกินไป ผมก็คงไม่มีวันนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายๆ คนถูกกักขังในกรอบและไม่กล้าที่จะลงมือทำตามความฝันมากที่สุดเลยล่ะครับ เพียงเพราะพวกเขา “กลัว” “คิดไปเอง” และ “แคร์” คำพูดของคนอื่นมากเกินไป จงมั่นใจในตัวเอง สิ่งนี้จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น และเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นครับ

 

อันดับที่ 6. ไม่เคยออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศบ้างเลย

 

โลกของเรานั้นมันช่างกว้างใหญ่ที่รอให้คุณออกไปค้นหา เชื่อผมมั้ยครับว่ายิ่งคุณออกไปสู่โลกกว้างมากขึ้นเท่าไหร่ สิ่งนั้นหมายความว่า “หัวใจและทัศนคติ” ของคุณจะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น เพราะคุณจะได้เรียนรู้ทั้งวัฒนธรรมต่างชาติ ได้ความรู้การใช้ชีวิตที่แตกต่างของมนุษย์โลกมากยิ่งขึ้น เผลอๆ โลกกว้างเหล่านั้นอาจจะกระตุ้นให้คุณอยากเรียนภาษาต่างชาติ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้คุณ “สร้าง” ความสัมพันธ์กับชาวต่างชาติที่มีเชื้อชาติและภาษาแตกต่างกับคุณ

 

ผมเข้าใจดีครับว่าเรื่องการไปเที่ยวต่างประเทศ บางคนก็ไปไม่ได้เพราะติดเรื่องพันธะต่างๆ หรือไม่มีเงิน แต่อย่างไรก็ดี จงพยายามนะครับถ้ามีโอกาส เพราะสิ่งเหล่านี้จะ “ฝัง” อยู่ในความทรงจำของคุณไปจนตายเลยล่ะครับ จงลงมือทำงานให้หนักและลองแบ่งเงินส่วนตัวออกไปเที่ยวสู่โลกกว้างด้วยนะครับ ยุคนี้ถูกกว่าในอดีตเยอะเลย

 

อันดับที่ 5. ไม่รู้จักออมเงินหรือลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง

 

ใครที่ยังใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน” อยู่ละก็ ขอบอกว่าให้เลิกพฤติกรรมเหล่านั้นทันทีนะครับ หลายๆ คนเป็นหนี้บัตรเครดิต ติดเที่ยว ช็อปปิ้ง กินเหล้า ปาร์ตี้ กินหรู ฯลฯ โดยที่ไม่เจียมกะลาหัว รายได้ต่ำแต่รสนิยมสูง ขอบอกเลยว่าชีวิตคุณจะกลายเป็นหนูติดจั่นที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย บางคนเห็นช้างขี้ก็ขี้ตามช้าง ใช้เงินซื้อความสุขในวันพรุ่งนี้แต่ไม่มีการวางแผนเรื่องการออมเงินหรือลงทุนในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างความมั่งคั่ง เกิดอาการชักหน้าไม่ถึงหลัง หวังได้เพียงการ “ย้ายงาน” หรือ “เล่นหวย” เพื่อให้ได้มีรายได้เพิ่มไปวันๆ 

 

ทำให้คุณพลาดโอกาสดีๆ เช่น ต้องใช้เงินลงทุน แต่ไม่มีเงิน หรือเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โดนไล่ออกจากงาน แม่ป่วยหนัก คุณเกิดอุบัติเหตุ โดนบี้เรื่องภาษี ฯลฯ คุณจะกลายเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลยทันที เพียงเพราะคุณไม่รู้จักออมเงิน วางแผนทางการเงินกับศึกษาด้านการลงทุนที่ดี เช่น อสังหาฯ หุ้น กองทุน ที่ดิน ทอง ฯลฯ นั่นเองครับ 

 

อันดับที่ 4. ไม่ออกกำลังกาย

 

จะมีประโยชน์อะไรถ้าทุกอย่างกำลังไปได้สวย งานการดี ร่ำรวย มีชีวิตที่ดี แต่ไม่เคยออกกำลังกายเลย! ถ้าอายุคุณเกิน 30 แล้วไม่ค่อยหรือไม่เคยออกกำลังกาย คุณตายเร็วแน่นอนครับ บางคนยิ่งแล้วใหญ่ ยังสูบบุหรี่ กินเหล้า คุณก็เหมือนเร่งนาฬิกาทรายชีวิตให้คุณตายได้เร็วขึ้นเท่านั้น คุณจะรอให้วันที่คุณประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง แต่ตัวต้องนอนพะงาบๆ อยู่บนเตียงอย่างนั้นหรือครับ? ทุกคนที่ใกล้ตายมักบอกว่ารู้งี้ขอย้อนเวลากลับไปออกกำลังกายทุกวันในสมัยหนุ่มสาวดีกว่า จะได้มีอายุที่ยืนยาวและสุขภาพที่ดีนานๆ แล้วคุณล่ะ อยากตายเร็วหรือตายช้าครับ?

 

อันดับที่ 3. ยึดติดกับความแค้น ปล่อยวางไม่ได้

 

มีหลายเหตุผลที่คนเรานั้นยังยึดติดกับความแค้นต่อคู่อริ เช่น ศัตรู แฟนเก่า หัวหน้างานเก่า เพื่อนร่วมงานบางคน คนที่ขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งผมเข้าใจดีว่าพวกเขาอาจจะทำให้คุณเจ็บปวดจนเคียดแค้นเป็นอย่างมาก แต่ขอให้ลองนั่งคุยกับตัวเองดีๆ ว่าสามารถ “ให้อภัย” พวกเขาได้หรือไม่ โดยเฉพาะกับคนที่เข้ามาขอโทษคุณอย่างจริงใจ ต่อให้ไอ้หมอนั่นทำสิ่งที่คุณรู้สึกเจ็บจนเกินให้อภัยก็ตามที เพราะการเก็บและยึดติดกับความแค้น ไม่ปล่อยวาง สุดท้ายแล้วคุณเองก็จะรู้สึกเจ็บปวดเองอยู่ดี ความแค้นจะทำให้คุณมีแต่ความเกลียดชัง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ จิตใจของคุณเองนั่นแหละที่จะเริ่มขุ่นมัว กลายเป็นแผลใจ การปล่อยวางจะเป็นสิ่งที่รักษาเรื่องนี้ได้

 

อันดับที่ 2. ทนอยู่กับความสัมพันธ์ต่อคนรักที่ย่ำแย่

 

แทบทุกคนบนโลกมุ่งแสวงหา “รักแท้” อยู่เสมอ ซึ่งหลายๆ คนก็ได้พบกับรักแท้จริงๆ แต่กับอีกหลายคนก็โชคร้าย ต้องประสบพบเจอกับความรักที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในสภาวะความรักที่ผิดปกติ เช่น การมีชู้ นอกใจ ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ให้เกียรติกัน การตบตีทำร้ายร่างกาย ฯลฯ หลายๆ คนมักจะปลอบตัวเองและบอกกับตัวเองให้ “อยู่เพื่อรัก” ถึงแม้ว่าจะโดนย่ำยีแค่ไหนก็ตาม คงเป็นเพราะหลายๆ คนได้ทุ่มเทเวลาที่อยู่ด้วยกัน มีลูกด้วยกัน จึงทำให้ทำใจยากที่จะตัดขาดจากกัน จึงทำให้ต้องทนอยู่ไปด้วยความทุกข์ระทม

 

ผมขอบอกว่า ถ้าคุณอยู่ในสภาวะแบบนั้น คุณต้องกล้าที่จะเลือกชะตาของตนเองด้วยการก้าวเดินออกมา แม่ของผมเองก็เป็นซิงเกิ้ลมัมที่เมื่อก่อนถูกพ่อของพบทุบตีทำร้ายร่างกายอยู่เป็นประจำ ถ้าแม่ยังทนอยู่ แม่ของผมจะต้องไม่มีความสุขและเจ็บปวดกับสิ่งนั้นไปทั้งชีวิตอย่างแน่นอน ไม่ผิดที่คุณจะต้องเลือกสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุข เช่น ชีวิตของตนเองและลูก การเดินออกมาจากชีวิตบัดซบด้านความรักด้วยการเลิกรา ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดในตอนแรก แต่ปัญหาที่ยากที่จะแก้ไขก็จะได้รับการคลี่คลายออกไปเช่นกัน จงเลิกกันซะก่อนที่จะสายเกินไป 

 

อันดับที่ 1. ไม่เคยกล้าที่จะ “เสี่ยง”

 

“ความเสี่ยง” เป็นคำที่ฟังดูแล้วน่ากลัว และไม่ได้หมายความว่าลองเสี่ยงดูแล้วแล้วคุณจะได้สิ่งที่หวัง เช่น ลองเสี่ยงลาออกจากงานเพื่อทำธุรกิจของตัวเอง ลองเสี่ยงที่จะเปลี่ยนงานเพื่อทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ลองเสี่ยงที่จะเปลี่ยนที่ทำงานเพื่อลาออกจากการถูกกดขี่ข่มเหงและขาดโอกาส เป็นต้น แต่ไม่มีใครในโลกนี้ไม่ไม่เคยเสี่ยงอะไรเลยแล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิต คนที่สำเร็จล้วนมาจากการกล้าที่จะเสี่ยงทั้งนั้น เช่น กล้าที่จะลงมือทำธุรกิจใหญ่โต กล้าที่จะมีกิจการของตนเอง กล้าที่จะเสี่ยงเรื่องการลงทุน เป็นต้น 

 

การเสี่ยงลงมือทำในเรื่องที่ไม่เคยทำ ส่วนใหญ่แล้วจะมีสิ่งที่แฝงเอาไว้คือโอกาสใหม่ๆ ความรัก ความมีชื่อเสียง โชคชะตาในเรื่องดี เปรียบได้กับการทอยลูกเต๋าที่เหมือนจะเสี่ยงเพราะไม่รู้ว่าจะออกหน้าไหน ถ้าพลาดหวังไปก็ทอยลูกเต๋าใหม่หรือเรียนรู้แล้วลองเสี่ยงอีกครั้งเท่านั้นเอง ลองคิดง่ายๆ แบบนี้ก็ได้ครับ เช่น คุณกล้าเสี่ยงที่จะไปขอเบอร์สาวที่คุณชอบ ถ้าเธอให้มา หัวใจคุณคงพองโตแล้วคงไม่เสียใจภายหลังที่ “ไม่กล้า” ขอเบอร์เธอ เผลอๆ จีบๆ ไปคุณอาจจะเป็นแฟนคุณในอนาคตก็ได้ครับ เพียงเพราะคุณกล้าเสี่ยงเท่านั้นเอง แต่ถ้าผิดหวัง ไม่ได้เบอร์ คุณก็ไปเสี่ยงขอเบอร์สาวคนอื่นแค่นั้นเอง (ฮา) เรื่องนี้คุณคงพอเข้าใจแล้วนะครับ 

สุดท้ายนี้ผมขอฝากแชร์เป็นวิทยาทานให้กับคนรุ่นใหม่ด้วยนะครับ จะได้ไม่เคยทำผิดพลาดและรู้สึกเสียใจภายหลังแบบพวกเรา ขอบคุณครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น