เด็กเรียนเก่ง “โคตรฉลาด” ทำไมถึง “สอบตก” ในสนามธุรกิจจริง? นี่คือเหตุผลที่คุณอาจไม่เคยรู้!

เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าทำไมบรรดาเซลล์ตัวท็อป หรือนักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรงหลายๆ คน มัก “ไม่ใช่เด็ก 4.00” หรือเรียนเก่งขั้นเทพกันซักเท่าไรนัก ต่อให้มีก็มีอยู่น้อยมาก ไม่เชื่อไปถามบรรดาลูกพี่ในบริษัทดูก็ได้ครับ หรือไม่ก็ไปถามเจ้าของเลยว่าจบมาเกรดเท่าไหร่ ผมบอกว่าเลยว่าส่วนใหญ่แล้วจบมาก็ “2 กว่าๆ” กันทั้งนั้นครับ (ฮา) บางคนติดเอฟ เปอร์ หรือเกือบไทร์ด้วยซ้ำ (เช่นผม) ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นไม่ได้เกี่ยวกับ “ความฉลาด” แต่อย่างใด แต่เกี่ยวกับสิ่งที่ผมกำลังจะพูดตามนี้เลย ซึ่งถ้าเด็กเรียนคนไหนรู้สึกว่ากำลังมีอุปสรรคอยู่ ถ้าคุณอ่านบทความนี้จนจบแล้วกล้าก้าวผ่านกำแพงนี้ไปได้ คุณจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน

1. ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบจนทำให้ “ไม่กล้า” ลงมือทำ

ในรั้วโรงเรียน มหาลัย ส่วนใหญ่พวกเขายึดติดกับคำว่า “มือหนึ่ง” จากผลคะแนนสอบระดับหัวแถว ความสมบูรณ์แบบและคำชมจากทางบ้านหรือครูบาอาจารย์ ทำให้พวกเขา “แพ้ไม่ได้” จน “กลัวความผิดพลาด” แต่ในโลกของการขายและการทำธุรกิจ ทุกการกระทำคือความเสี่ยง ล้มแล้วต้องลุกให้ไว แต่เรื่องนี้คนที่ยึดติดความสมบูรณ์แบบก็จะเกิดอาการกลัวจนไม่กล้าลงมือทำอะไร ทำให้พวกเขาไม่สามารถเป็นนักขายหรือนักธุรกิจระดับท็อปได้ เพราะการจะเป็นสองสิ่งนี้ต้องผ่านการโดนปฎิเสธไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครังครับ

2. ขาดทักษะ Soft Skill สำหรับการสื่อสารกับคนซึ่งโคตรสำคัญ

ถ้าเป็นแก๊งเด็กเรียนแบบเพียวๆ เด็กเนิร์ด ส่วนใหญ่พวกเขาจะมีวัฒนธรรมกลุ่มด้วยการคบแต่เด็กเรียนกันเอง ไม่ค่อยทำกิจกรรมสันทนาการที่ไม่ทำให้เรียนเก่งขึ้น เช่น กีฬา นารี เกมส์ ฯลฯ ยิ่งตอนเข้ามหาลัยก็ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ที่เลือกเพื่อนได้มากขึ้น พอเข้ามาสู่โลกแห่งการทำงานจริงก็มักจะเลือกสายงานตามวิชาชีพขั้นสูงที่เด็กๆ หัวกะทิเท่านั้นถึงจะเรียนได้ เช่น แพทย์ วิศวะฯ นักวิทยาศาสตร์ ผู้พิพากษา บัญชี การเงิน ฯลฯ ผลก็คือขาดประสบการณ์ทำงานที่ต้องเน้นการสื่อสารเพราะยังไงพวกเขาก็ไม่เลือกทำอยู่แล้ว เช่น งานขาย งานการตลาด งานด้านนิเทศน์ เป็นต้น ทำให้การพัฒนาทักษะทางอารมณ์ (EQ) ยิ่งช้ากว่าคนอื่นไปอีก

3. การตีกรอบความสำเร็จด้านการเรียนกับวิชาชีพตั้งแต่เด็ก

กรอบที่ว่านั้นก็คือ “จุดสูงสุด” ด้านการศึกษา เช่น เป็นหมอได้ เป็นวิศวะจุฬา เป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับนักเรียนทุน ฯลฯ พวกเขาจึงยึดติดว่าความสำเร็จคือการได้ทำงานตามวิชาชีพ องค์กรใหญ่ๆ ตำแหน่งดีๆ เงินเดือนมั่นคง ซึ่งมันก็มั่นคงในระดับนึงแต่ไม่สามารถตอบโจทย์ด้าน “ความมั่งคั่ง” หรือความสำเร็จทางการเงินถ้าเทียบกับผู้ประกอบการหรือนักขายที่มองว่าความสำเร็จคือการแก้ปัญหาและตอบโจทย์ให้กับลูกค้า การสร้างเงินด้วยตนเอง และการเผชิญหน้าความเสี่ยงกับความไม่แน่นอน ผลก็คือเมื่อเวลาผ่านไปจนอายุ 40 เด็กเรียน ณ วันนั้นการงานดีจริงแต่ไม่รวยเมื่อเทียบกับเด็กที่กล้าได้กล้าเสียเรื่องงานมาตั้งแต่จบใหม่

4. ไม่กล้าออกจาก Comfort Zone

ส่วนใหญ่เด็กเกเร เด็กเหี้ย (ฮา) หรือเด็กที่ผลการเรียนงั้นๆ เวลาทำงานจริงหลายๆ คนรู้ดีว่าไม่มีอะไรจะเสีย (เพราะล้มเหลวมาเยอะแล้ว) จึงกล้าออกจาก Comfort Zone ไปเสี่ยงกับเรื่องที่ได้เงิน เพราะตำแหน่งงานดีๆ บริษัทชั้นนำนั้นถูกจับจองโดยเด็กระดับหัวกะทิหมดแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ที่เก่งและอยู่ในองค์กรที่มั่นคงมักจะมีความกล้วลึกๆ ถ้าเกิดออกมาลงมือทำเองเพราะมันเสี่ยงและชีวิตส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่กล้าเสี่ยง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ สำหรับคนที่อยู่ในกฎระเบียบ ทำอะไรอยู่ในกรอบของสังคมและครอบครัวมาโดยตลอด

5. แต่ก็ไม่ใช่ว่าเด็กเรียนจะล้มเหลวด้านการทำธุรกิจเสมอไป

เพราะยังมีเด็กเรียนอีกมากที่เปิดความคิดและทัศนคติ ไม่ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ เรียนรู้ทักษะการสื่อสารกับคน กล้าออกจากคอมฟอร์ทโซนและไปสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่สำคัญคือเปิดรับทัศนคติเรื่องการแสวงหาความมั่งคั่ง ผลก็คือออกจากระบบและใช้ความเก่งของตัวเองอยู่แล้วมาสร้างธุรกิจได้เป็นอย่างดีครับ

คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ? มาแชร์ความคิดเห็นกันครับ!

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts