ทำไมอาชีพนักขายหรือเซลล์แมน ถึงเป็นอาชีพที่ยอดเยี่ยมที่สุด (ถ้าไม่นับอาชีพเทพ)
จากหัวข้อบทความในวันนี้ ผมขอถามนะครับว่าท่านผู้อ่าน “เห็นด้วย” กับผมมั้ย ว่าอาชีพนักขายนั้นยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าไม่นับอาชีพเทพหรืออาชีพที่เข้ายากมากๆ เช่น หมอ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ วิศวกรตัวท็อป โปรแกรมเมอร์เอไอ ผู้พิพากษา ฯลฯ ซึ่งถึงตรงนี้ผมก็ยังเชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่าอาชีพเซลล์แมนนั้นมันยอดเยี่ยมที่สุดยังไงกัน (วะ) ดูเหมือนเป็นงานตื๊อคน แรงกดดันสูง ทำไม่ได้ก็โดนไล่ออก ซึ่งบทความนี้นี่แหละครับที่จะทำลายความเชื่อทุกอย่างและผมก็ยังยืนยันว่าอาชีพนี้ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ดี ดังนี้ครับ
1. AI แทนนักขายระดับสูง (โดยเฉพาะ B2B) ไม่ได้ชัวร์ๆ
อาชีพอื่นโดน AI “ฆ่า” ไปสารพัด แต่อาชีพเซลล์แมน โดยเฉพาะเหล่าเซลล์แมนในวงการระดับสูง เช่น วิศวกรรม ก่อสร้าง ไอที ราชการ การแพทย์ ฯลฯ ก็ยังเป็นการขายแบบ “คนกับคน” และสร้างความสัมพันธ์กันอยู่ “วันยังค่ำ” ชาตินี้ AI ไม่สามารถแทนคนเรื่องความรู้สึก ความชอบ ความลำเอียง หรือแม้กระทั่งอคติได้อย่างแน่นอน หรือเอาง่ายๆ อย่างงานขายประกันที่คุณก็ยังไว้ว่างใจในการซื้อกับ “คนรู้จัก” อยู่ดี คนที่ทำสายงานขายจึงสบายใจ ทุกอย่างผ่านฉลุย ขอให้อยู่ในวงการที่โตเรื่องๆ ยังไงก็รอดครับ
2. โอกาสในการสร้างรายได้เกินขีดจำกัด
เกินขีดจำกัดในฐานะ “ลูกจ้าง” เลเวลเหมือนๆ กัน แน่นอน ไม่มีแผนกไหนที่ “ทำมากได้มาก” ผลงานตามฝีมือ เท่ากับอาชีพเซลล์แมนอีกแล้วครับ รายได้พร้อมค่าคอมมิชชั่นสูงกว่าอาชีพอื่นๆ ในบริษัทคุณอย่างแน่นอน แถมยังวัดผลง่ายตามยอดขาย ตามปรัชญา “ทำมากได้มาก” ยิ่งการขายที่ไม่มีเพดานรายได้ เช่น ขายประกัน ขายตรง ฯลฯ คุณสามารถสร้างรายได้ตามฝีมือแบบไร้ขีดจำกัดตามความขยันครับ ตรงกันข้ามกับอาชีพอื่นๆ ที่ขยันแทบตายแต่โดนประเมินออกมาก็ไม่ได้เงินเพิ่มแต่อย่างใด ลุ้นแต่โบนัสแต่ละปีไปวันๆ ถ้ารักความก้าวหน้าและวัดผลตามฝีมือจริง อาชีพนี้ยังไงก็ตอบโจทย์ครับ
3. สร้างคอนเนคชั่นดีๆ ได้ทุกวันแบบไม่ต้องเกิดมามีบุญมาก่อน
ใครจะบอกว่าคอนเนคชั่นต้องลงทุนเสมอ ผมไม่เถียงครับ หลายๆ คนส่งลูกไปเรียนนานาชาติ ลงทุนเรียนเมืองนอก ซื้อหลักสูตรคอนเนคชั่นราคาแพง ผมนี่โคตรตลกเลยว่าต้องใช้เงินขนาดนั้น แถมถ้าทำงานไม่ตรงหรือให้ผลประโยชน์กับคนอื่นไม่ได้ คุณรู้จักคอนเนคชั่นไปก็เท่านั้น แต่อาชีพเซลล์แมนนี่โคตรดีคือวันๆ คุณจะได้เจอลูกค้าหน้าใหม่ทุกวัน (แถมเอาเงินมาให้คุณ) แถมยังรู้จักมากมายหลายระดับตั้งแต่จัดซื้อยัน CEO เลยด้วยซ้ำ คอนเนคชั่นพวกนี้ดันเป็น “แต้มบุญ” เวลาคุณย้ายบริษัทก็ได้เงินเดือนเพิ่มหรือออกไปทำธุรกิจส่วนตัวก็ทำได้ง่ายเพราะรู้จักลูกค้า ที่สำคัญคือบริษัทเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้เราอีกต่างหาก
4. เส้นทางสู่การเป็นเจ้าของกิจการจากตำราชีวิต
สังเกตไหมว่าทำไมคนทั่วไปถ้าอยากทำธุรกิจก็หนีไม่พ้นธุรกิจพื้นฐาน เช่น เปิดร้านกาแฟ ร้านอาหาร ซื้อแฟรนไชส์ ฯลฯ แล้วสุดท้ายก็เจ๊ง หลักๆ เลยคือพวกเขาไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจระดับสูงกว่าที่คู่แข่งน้อยนั้นทำอย่างไร ขายอะไร ลูกค้าคือใคร แต่อาชีพนักขายนั้นเห็นทั้งหมดครับ รู้ว่ากลุ่มลูกค้าเฉพาะคือใคร แถมยังรู้ว่าต้องไปขายใคร มีคอนเนคชั่น รู้ว่าใครเป็นพาร์ทเนอร์ ซัพพลายเออร์ จัดซื้อ ฯลฯ ทำให้นักขายขั้นเทพหลายๆ คนออกไปตั้งบริษัทตัวเองก็สามารถทำได้ดี คู่แข่งเทียบชั้นน้อย ขนาดพวกลูกทายาทเวลาจบเมืองนอกมายังถูกส่งไปอยู่ฝ่ายขายเลยครับ เพราะได้เรียนรู้ลูกค้าและได้ผลงานเร็วที่สุด
5. ได้พัฒนาทักษะ Soft Skills ที่ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข
คุณสามารถเอาสกิลนักขายไปใช้กับชีวิตส่วนตัวได้เลย โดยเฉพาะทักษะการสื่อสารที่นุ่มนวล เห็นอกเห็นใจ เข้าใจผู้อื่น เวลาคุณทำอะไรกับลูกค้าได้ดีก็สามารถเอาไปทำกับคนใกล้ตัวได้เลย อย่างเช่นทักษะการเจรจาต่อรองและโน้มน้าวใจที่ทำให้แก้ปัญหาชีวิตได้ง่ายกว่าคนอื่น เข้ากับใครก็ง่าย ไปสังคมไหนๆ ใครก็ชอบเพราะวางตัวเป็น (เรียนรู้จากชีวิตจริงมาเยอะ) แถมยังแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เก่งเพราะโลกแห่งการขายมักมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ต้องใช้ไหวพริบสูงอยู่เสมอ แถมยังเข้าใจหลักการของการทำธุรกิจได้ดีอีกด้วยครับ
สรุปคือ อาชีพนักขายมอบ “อิสรภาพ” ในการกำหนดรายได้และ “โอกาส” ในการพัฒนาตัวเองในทุกด้าน ซึ่งน้อยอาชีพนักจะให้สิ่งเหล่านี้ได้พร้อมๆ กันในระดับที่ไม่ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษาหรือตำแหน่งงานเริ่มต้นมากเท่าอาชีพอื่นๆ ครับ
Comments
0 comments
