20 เรื่องที่ทำให้ “กูกับมึง มียอดขายต่างกัน” สำหรับปี 2026
ผมเคยเขียนบทความนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ไหนๆ จะเข้าสู่ปี 2026 แล้วก็เลยขอ “ปัดฝุ่นใหม่” เพราะจนถึงยุคที่มี AI กันเรียบร้อยแล้ว แต่นักขาย “ขี้แพ้” หลายๆ คนก็ตีอกชกลม โทษสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยเฉพาะการโทษเพื่อนร่วมงานที่เก่งกว่า หรือคู่แข่งที่เจ๋งกว่าว่าเป็นเพราะฟลุ๊ก แล้วก็มานั่งสงสัยตัวเองว่า “ทำไมมึงกับกูถึงมียอดขายต่างกัน” ชีวิตเจริญได้ไม่เท่ากัน นี่คือ 20 เหตุผลที่ผมรวมมาให้เรียบร้อยแล้วครับ
1. การใช้และบันทึกข้อมูลลงบน CRM
กู: กูอัปเดต CRM ทุกกิจกรรมแบบวินาทีต่อวินาที เพื่อให้ข้อมูลของกูเป็น “สมอง” ในการตัดสินใจ
มึง: มึงกรอก CRM แค่ตอนที่หัวหน้าสั่ง (บางวันก็ไม่ทำ) และข้อมูลของมึงก็ใช้การอะไรไม่ได้
2. การติดตามงาน
กู: กูมีระบบติดตามผลดีลที่ค้างอยู่ (Follow-up) แบบเป็นขั้นเป็นตอน ไม่มีดีลไหนหลุดไปจากสายตา
มึง: มึงตามแค่ลูกค้าที่ “ทักมา” และปล่อยให้ดีลส่วนใหญ่ “เงียบหาย” ไปเอง สุดท้ายลูกค้าก็ไปซื้อที่อื่น
3. ความเร็วในการตอบลูกค้า
กู: กูกลับไปถึงออฟฟิศปุ๊บ กูก็ตอบอีเมลสรุปปั้ป หรือทำ Proposal เสร็จภายใน 1 ชม. ทันที ตอบสนองลูกค้าไว
มึง: มึงปล่อยให้ลูกค้าต้องรอการตอบกลับ 1 วันเต็ม ๆ จนความตื่นเต้นของลูกค้าหายไป
4. การเรียนรู้ข้อผิดพลาด
กู: กูกลับมานั่งแกะดีลที่ “แพ้” เพื่อหาวิธีแก้ไข และไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิม
มึง: มึงโทษปัจจัยภายนอก เช่น ราคาแพง เศรษฐกิจแย่ ฯลฯ และไม่เคยเรียนรู้จากความล้มเหลว
5. การจัดระเบียบงาน
กู: กูมีระบบบริหารเวลาที่ทำให้กูรู้ว่าต้องทำอะไรก่อน-หลัง และทำมันให้เสร็จตามแผน
มึง: มึงทำงานแบบ “ตามอารมณ์” และมักจะทำงานสำคัญไม่ทันในวันสุดท้าย
6. คุณภาพลูกค้า
กู: กูกล้า “ปฏิเสธ” ลูกค้าที่ไม่ใช่เป้าหมายหลัก เพื่อไปโฟกัสลูกค้าที่จ่ายหนักและตรงสเปคกว่า
มึง: มึงรับทุกดีลที่เข้ามา เพราะกลัวไม่มีอะไรทำ แม้จะรู้ว่าดีลนั้นไม่มีวันปิดได้ ทำให้เสียเวลา
7. การเข้าถึงลูกค้าระดับสูง
กู: กูกล้าโทรหาผู้บริหารระดับสูง (Decision Maker) โดยตรง เพื่อตัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ถึงลูกถึงคนกว่า
มึง: มึงคุยอยู่กับผู้ใช้งาน (User) หรือคนระดับล่าง เพราะกลัวโดนปฏิเสธจากคนมีอำนาจ พูดง่ายๆ ก็คือปอดแหก
8. จำนวนกิจกรรมการขาย
กู: กูมีปริมาณการเข้าหาลูกค้า ทำ Cold Call เข้าพบลูกค้าที่สม่ำเสมอทุกวัน ไม่ว่าจะมียอดขายดีอยู่แล้วหรือไม่ก็ตาม
มึง: มึงจะขยันหาลูกค้าก็ต่อเมื่อ Pipeline ว่างเปล่า หรือหัวหน้ามาไล่บี้เท่านั้น
9. การขอให้ลูกค้าแนะนำบอกต่อ
กู: กูกล้าขอให้ลูกค้าที่พอใจกับกู แนะนำลูกค้ารายใหม่ให้ทันทีหลังปิดดีล
มึง: มึงอายที่จะขอ Reference และรอให้ลูกค้าแนะนำเอง ซึ่งมันไม่มีวันเกิดขึ้น
10. การวางแผนเจาะลูกค้า
กู: กูมีรายชื่อลูกค้าเป้าหมาย 100 ราย ด้วยการใช้ AI ที่กูจะเจาะให้สำเร็จภายใน 3 เดือน
มึง: มึงเปิด CRM ไปเรื่อยๆ และโทรหาใครก็ได้ที่โผล่ขึ้นมาในหน้าจอ
11. การถามคำถามลูกค้า
กู: กูตั้งคำถามที่ลึกซึ้ง เพื่อค้นหา Pain Point ที่ลูกค้ายังไม่รู้ตัว
มึง: มึงแค่ถามคำถามพื้นฐาน และรีบกระโดดไปนำเสนอสินค้าของมึง
12. การนำเสนอ
กู: กูนำเสนอ “ผลตอบแทนจากการลงทุน” (ROI) และมูลค่าทางธุรกิจที่ลูกค้าจะได้รับในระยะยาว
มึง: มึงนำเสนอแค่ “คุณสมบัติ” และ “สเปค” ของสินค้า แล้วไปแข่งกันที่ราคา
13. การต่อรองเจรจา
กู: กูกล้าที่จะถอนตัวจากการเจรจา เมื่อรู้สึกว่าข้อเสนอที่ลูกค้าให้มามันไม่คุ้มค่า
มึง: มึงยอมลดราคาไปเรื่อย ๆ เพราะกลัวที่จะเสียดีลนั้นไป
14. การควบคุมดีล
กู: กูกล้าที่จะกำหนดขั้นตอนการตัดสินใจในช่วยติดตามงาน เป็นคนทำให้ดีลคืบหน้า และ Timeline ให้กับลูกค้า
มึง: มึงปล่อยให้ลูกค้าเป็นคนกำหนดทุกอย่าง และรอการตัดสินใจที่ไม่มีวันมาถึง
15. การปิดการขาย
กู: กูกล้าที่จะถามคำถามปิดการขายที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา
มึง: มึงใช้คำพูดที่อ้อมค้อม กลัวที่จะถามว่า “คุณพร้อมจะเซ็นสัญญาเมื่อไหร่?”
16. ความเชื่อมั่น
กู: กูปักใจเชื่อว่าสินค้าของกู “ดีที่สุด” และจะช่วยลูกค้าได้อย่างแท้จริง
มึง: มึงแค่ “ขาย” สินค้า เพราะมันเป็นหน้าที่ และลังเลกับมูลค่าที่มึงนำเสนอ
17. ความยืดหยุ่น (Resilient)
กู: กูมีพลังในการลุกขึ้นยืนใหม่ทันทีหลังจากถูกปฏิเสธ 10 ครั้งติด
มึง: มึงเสียกำลังใจทั้งวันเพราะเพียงแค่การถูกปฏิเสธเพียงครั้งเดียว
18. การแสวงหาความรู้
กู: กูศึกษาธุรกิจของลูกค้าและคู่แข่งอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้กูสามารถคุยกับผู้บริหารระดับสูงได้อย่างเท่าเทียม
มึง: มึงรู้แค่ข้อมูลสินค้าของตัวเอง และไม่รู้ว่ามันจะไปช่วยธุรกิจของลูกค้าได้อย่างไร
19. ความคาดหวัง
กู: กูกล้าตั้งเป้าหมายที่สูงเกินจริงและทำงานหนักเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น
มึง: มึงตั้งเป้าหมายแค่พอผ่านไปในแต่ละเดือน และพอใจในความสำเร็จแค่ระดับกลางๆ ชีวิตเลยไปไม่ถึงไหน
20. ความรับผิดชอบ
กู: กูรับผิดชอบ 100% ต่อทุกผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นใน Pipeline ของกู
มึง: มึงโทษโชคชะตา โทษหัวหน้า และโทษสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวมึงเองทั้งหมด
ยอดขายที่ต่างกัน ไม่ได้มาจากโชค แต่มาจาก “วินัย” และ “วิธีการ” ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ
Comments
0 comments
