ทำไมผมถึงบอกว่าช่วงเศรษฐกิจไม่ดีถึงควรไปเป็นนักขายในสายงานราชการ

ยุคนี้เป็นยุค “เผาจริง” ซึ่งก็เผาจริงๆ นั่นแหละครับ ภาคเอกชนไล่ตั้งแต่ SME จนถึงมหาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ซึ่งก็จริงอยู่ที่มีบางธุรกิจกลับ “โตสวนกระแส” แต่ก็ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับกระแสหลักอย่างนักขาย B2B สายโรงงานหรือสายเอกชนบริษัทยักษ์ใหญ่ก็ขายยากขึ้นมาก หลายๆ แห่งต้องลดต้นทุน แต่กลับกันที่นักขายสายงานราชการกลับ “ไม่ค่อยได้รับผลกระทบ” เผลอๆ อาจจะมั่นคงกว่าการขายงานเอกชนทั่วๆ ไป ถ้าใครกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้อยู่ สายงานราชการเป็นอีกหนึ่งสายที่ผมอยากจะแนะนำในชั่วโมงนี้ ดังนี้ครับ

1. งบประมาณภาครัฐมีความชัวร์และแน่นอนกว่ามากๆ

พูดง่ายๆ ก็คือไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือจะแย่ รัฐบาลบ้านเราย่อมมีงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่างๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน งานซ่อมบำรุง โครงการพัฒนาหน่วยงาน ฯลฯ แบบคงที่ (เผลอๆ เพิ่มขึ้น) ตรงๆ เลยก็คือกว่างบฯ จะผ่านและอนุมัติโดยบรรดาผู้ใหญ่บ้านเรามันไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่องบฯ ผ่านแล้วจึงเป็นอะไรที่รัฐ “ได้ใช้เงินแน่ๆ” ในส่วนนี้ ที่สำคัญคือโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มักเป็นโครงการแบบต่อเนื่อง จัดซื้อจัดจ้างเรื่อยๆ ซึ่งจะไม่หยุดชะงักตามสภาพเศรษฐกิจซักเท่าไหร่นัก ทำให้ถ้าได้งาน 1 งาน มักได้ไปต่อกับรัฐแบบยาวๆ ยั่งยืนกว่าเอกชนเยอะมาก

2. ลูกค้าภาครัฐมีความต้องการที่ไม่ผันผวนเร็วตามสภาพเศรษฐกิจ

เพราะภาครัฐยังคงต้องให้บริการประชาชนด้วยโครงสร้างพื้นฐานสำหรับคุณภาพชีวิตคนไทย เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย หน่วยงานราชการ ถนนหนทาง รถไฟฟ้า ตึก อาคาร ฯลฯ ทำให้ต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุสิ้นเปลือง เทคโนโลยีใหม่ๆ อุปกรณ์ที่จำเป็น หรืองานบริการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการพื้นฐานไม่มีทางลดลงเมื่อเทียบกับภาคเอกชนที่แนวทางการบริหารอาจเปลี่ยนได้ตามคำสั่งของ CEO หรือบอร์ดบริหาร และสถานการณ์ธุรกิจ ซึ่งมีความผันผวนสูง ที่สำคัญคือตลาดภาครัฐ “ไร้คู่แข่ง” ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนกลยุทธอะไรมากเมื่อเทียบกับภาคเอกชนซึ่งมีความดุเดือดมากกว่า

3. คู่แข่งไม่ได้เยอะมากอย่างที่คิดเมื่อเทียบกับภาคเอกชน

เชื่อหรือไม่ว่าองค์กรเอกชนที่มีทีมงานเก่งๆ ผู้บริหารไฟแรงมากฝีมือ มีเทคโนโลยีหรือไอเดียที่ล้ำสมัยมักไม่เข้าสู่ตลาดราชการเท่าไหร่เพราะคิดไปเองว่า “เชื่องช้าและล้าหลัง” และคิดว่าเข้าองค์กรเอกชนใหญ่ๆ น่าจะคุยง่ายกว่า เหตุผลที่แท้จริงคือองค์กรเอกชนส่วนใหญ่ “ไม่รู้เรื่อง” โดยเฉพาะกฎระเบียบภาครัฐที่ซับซ้อนมากกว่า ผลก็คือไม่ค่อยมีคู่แข่งมากอย่างที่คิด ส่วนใหญ่ก็พวก “หน้าเดิมๆ” (ฮา) เรียกได้ว่าถ้าขายได้ซักหน่วยงานนึงก็แทบจะ “นอนมา” ซึ่งถ้าคุณเป็นนักขายสไตล์ Hunter หรือ Farmer ก็จะรู้ได้เลยว่าลูกค้าไม่ค่อยพูดถึงคู่แข่งและลูกค้ามักว่างในการเจอเราเป็นประจำเพราะคู่แข่งไม่ค่อยเข้ามานี่แหละครับ

4. เศรษฐกิจจะดีจะร้ายยังไงก็มีโครงการจัดซื้อจัดจ้างอยู่ดี

เพราะนักขายส่วนใหญ่ไม่ว่าจะ B2B หรือ B2C ได้รับผลกระทบเต็มๆ จากกำลังซื้อที่หดตัวในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ แต่กับภาครัฐก็มีงบฯ จากภาษีของเรากับแหล่งรายได้อื่นๆ อ่ะครับ ทำให้ไม่ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าชาวบ้าน หรือต่อให้จะปฎิวัติ รัฐประหารกันกี่รอบ โครงการจัดซื้อจัดจ้างก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป เพราะหลายๆ โครงการ “เป็นหน้าเป็นตา” ให้กับคณะรัฐบาลปีนั้นๆ อีกด้วย ดังนั้นถ้าประเทศนี้ไม่ Fail State ยังไงคุณก็มีโปรเจคกับภาครัฐได้เรื่อยๆ ครับ

5. ใช้ความได้เปรียบด้าน Connection ได้อย่างแข็งแกร่ง

การขายงานราชการเป็นตลาดเฉพาะทางที่ต้องอาศัยความรู้เรื่องกฎระเบียบ การจัดซื้อจัดจ้าง และความสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงาน เจ้าหน้าที่รัฐนั้นๆ การที่คุณอยู่ในสายงานนี้ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี จะเป็นการสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่ไม่เหมือนใคร ที่สำคัญคือลูกค้า “อยู่ยันเกษียณ” ทำให้ถ้าคุณมัดใจลูกค้าได้อย่างอยู่หมัด โอกาสที่พวกเขาจะเปลี่ยนไปซื้อเจ้าอื่นหรือถูกโยกย้ายตำแหน่ง เปลี่ยนงาน จนทำให้เกมเปลี่ยนย่อมยากมากๆ คอนเนคชั่นกับเจ้าหน้าที่รัฐ ทุกระดับ จะเป็นแต้มบุญให้คุณมีความยั่งยืนได้อย่างมหาศาลครับ

ซึ่งก็แน่นอนว่าการเป็นนักขายสายงานราชการก็มียากในแบบของตัวเอง เช่น ขั้นตอนที่ซับซ้อน การแข่งขันที่สูงในบางงาน หรือการต้องทำความเข้าใจกฎระเบียบจำนวนมาก แต่หากมองในมุมของความมั่นคงและโอกาสในระยะยาวแล้ว ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน อาชีพนี้จึงเป็นทางเลือกที่น่าจับตามองและคุ้มค่าที่จะพิจารณาครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts