ลูกเจ้าสัวคณินคือตัวแทนของความล้มเหลวใช่หรือไม่? แล้วถ้าคุณเป็นลูกทายาทฯ คุณจะหนีความล้มเหลวนั้นได้อย่างไร

บทความนี้ผมขอพูดถึงบรรดาลูกศิษย์ของผมมากกว่า 100 ชีวิตที่เคยเรียนคอร์ส Sales Director ซึ่งแต่ละคนก็ไม่ธรรมดาครับ มีทั้งลูกท่านหลานเธอบริษัทมหาชนยักษ์ใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรมพันล้าน หรือแม้กระทั่งทายาท Gen2 SME ผู้มุ่งมั่น ซึ่งแต่ละคนก็เพียบพร้อมด้วยความรู้ความสามารถ จบเมืองนอกหรือไม่ก็มหาลัยดังเมืองไทยกันแทบทั้งนั้น ด้วยต้นทุนชีวิตที่สูงกว่าและสืบเนื่องจากหนัง ‘สงคราม ส่งด่วน’ (อีกแล้วครับท่าน กูโหนอีกแล้ว) ถ้าใครดูจะเห็นว่าลูกเจ้าสัวฯ อาจถูกตีความว่าเป็น ‘ตัวแทนของความล้มเหลว’ ได้เหมือนกัน ซึ่งชีวิตจริงก็ไม่ได้ล้มเหลวเสมอไปนะครับ (ผมฟันธงเลยว่า 90% ถ้าไม่ทำตัวหัว ค. ก็รวยแน่นอนครับ) แต่ผมจะขอวิเคราะห์เฉพาะบทในหนังเท่านั้น เพราะมันก็แค่หนังจริงๆ

แถมให้พิเศษครับ ถ้าคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบในหนัง เป็นลูกทายาทฯ ที่ได้รับความคาดหวังสูงแต่ยังคิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ได้เรื่อง บทความนี้จะบอกวิธีตั้งแต่ 0 จนประสบความสำเร็จ รวมใช้ต้นทุนชีวิตที่มาจากการ ‘สืบสันดาน’ เพื่อสร้างความได้เปรียบและก้าวสู่ความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน

ทำไมลูกเจ้าสัวฯ ถึงมักจะถูกมองว่าเป็นตัวแทนของความล้มเหลว (ในหนังหรือสื่อต่างๆ รวมถึงชีวิตจริง)

1. เป็นแค่การสร้างตัวละครที่มีความขัดแย้งในหนังแบบคลิเช่ (Cliche’)

คลีเช่ เป็นภาษาฝรั่งเศส หมายถึงพล็อตหนังหรือเพลงที่ออกแนวซ้ำๆ กัน เดาทางง่าย ส่วนใหญ่ในหนังหรือซีรีส์ที่ตัวโกงรวยมากๆ ส่วนพระเอกก็ต้องมาจากพื้นเพกระจอกๆ ยิ่งจาก 0 ก็จะสร้างความขัดแย้งได้มาก ตัวอย่างซีรีส์ที่ชัดเจนในเรื่องนี้ก็พวก Itaewon Class ที่ประธานชางแดฮี มีลูกชายที่ไม่ได้เรื่อง ส่วนพระเอกก็นอกจากโดนเอาเปรียบ พ่อตาย แถมยังติดคุกอีกต่างหาก เพื่อให้หนังมีรสชาติที่กล่มกล่อม จัดจ้าน บทจะส่งให้ชายที่มาจาก 0 หาหนทางที่จะโค่นอำนาจยักษ์ที่ไม่มีทางชนะได้ มันจึงกลายเป็นเรื่องราวที่สนุกๆ ดราม่า ซึ่งลูกเจ้าสัวคณินก็ถูกออกแบบบทมาให้เป็นแบบนี้เช่นกัน

2. ภาพจำทั่วๆ ไปของสังคมไทย

ลูกคนรวยมักโดนเหมารวมไปบ้างว่าไม่ได้พยายามด้วยตนเอง ไม่เข้าใจความลำบากตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ หรือเวลาโดนคดีใหญ่ๆ ก็มีเงิน เคลียร์ได้ ดูเป็นคนที่ใช้ชีวิตสองมาตรฐานได้ ก็เลยถูกเหมารวมว่าเป็นคนไม่ดี ไม่ได้เรื่อง เวลาทำเป็นหนังก็เลยได้บทบาทประมาณนี้ ยิ่งพ่อตัวเองโคตรเก่ง โคตรเขี้ยว มันเลยเป็นภาพสะท้อนว่าลูกกลายเป็นคนไม่ได้เรื่อง

3. ขาดประสบการณ์เรื่องความรู้และการทำธุรกิจ

เรื่องนี้มีความจริงอยู่พอสมควร ต้องยอบรับว่าลูกเจ้าสัวฯ หลายๆ คน ไม่มีประสบการณ์หรือไม่เห็นภาพตอนที่ธุรกิจเริ่มจาก 0 หรือช่วงที่เจอวิกฤติเศรษฐกิจต่างๆ เกิดมาก็สบายแล้ว ไม่เคยเจอความล้มเหลวหรือตอนที่เงินขาดมือ ต้องกู้หนี้ยืมสิน อดมื้อกินมื้อ ประสบการณ์ชีวิตกับหัวจิตหัวใจเลยไม่แข็งแกร่งเท่ารุ่นบุกเบิก ทักษะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจึงไม่สูงเท่าพวกสร้างจาก 0 หรือมือเก๋า

4. แรงกดดันและความคาดหวัง

การเป็นลูกเจ้าสัวมาพร้อมกับแรงกดดันและความคาดหวังมหาศาลที่จะต้อง ‘เก่งให้เท่าพ่อ’ หรือ ‘รักษาอาณาจักรธุรกิจไว้ให้ได้’ ซึ่งบางครั้งแรงกดดันเหล่านี้อาจทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล และส่งผลให้ไม่สามารถแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือบางทีลูกเจ้าสัวฯ ใจไม่ได้ชอบทำธุรกิจ ชอบอย่างอื่นที่เป็นการใช้ชีวิต เช่น ท่องเที่ยว เล่นกีฬา เล่นดนตรี​ ฯลฯ พอใจไม่ได้รักการทำธุรกิจก็เลยต้องทำงานแบบฝืนๆ ต่างกับรุ่นพ่อหรือคนที่สร้างจาก 0 ที่ถ้าไม่ทำงานหนักก็ไม่มีกินและมีความรักในเงินตรามากกว่ารุ่นลูกเป็นธรรมดา

โลกแห่งความเป็นจริงที่ทำให้ลูกเจ้าสัวมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงมาก

ถ้าคุณไปดูชีวิตจริงกับธุรกิจที่อยู่รอบๆ ตัวเรา เช่น ลักกี้สุกี้ สุกี้ตี๋น้อย โปเตโต้ คอร์เนอร์ ฯลฯ จะเห็นว่าพวกเขามาจากพื้นเพที่ดี ใช้ทักษะและความสามารถจนต่อยอดธุรกิจของครอบครัวได้ไกลกว่าเดิมหรือสร้างธุรกิจตนเองจนสำเร็จด้วยปัจจัยมากมาย เช่น

1. ต้นทุนชีวิตและโอกาส: ทุกอย่างที่พร้อมกว่า ทั้งเงิน แบ็ค การศึกษา คอนเนคชั่น ประสบการณ์จากพ่อแม่ กุนซือ ฯลฯ

2. ความรู้จากสถาบันชั้นนำ: ลูกเจ้าสัวที่รักดีและมาตรฐานจะได้รับการศึกษาจากสถาบันชั้นนำ ได้ทำงานบริษัทดัง และได้รับการฝึกฝนจากพ่อแม่โดยตรง

3. มีวิสัยทัศน์ในการนำธุรกิจสู่ยุคสมัยใหม่: จากความรู้และคอนเนคชั่นที่ได้มา ทำให้ลูกเจ้าสัวหลายๆ คนทำธุรกิจต่อยอดให้มีความทันสมัย เช่น ศรีจันทร์ เด็กสมบูรณ์ ฯลฯ

4. พวกเขามีความพยายามไม่แพ้คนจาก 0: หลายๆ คนที่ผมรู้จักเรียกได้ว่า ‘เสือติดปีก’ นอกจากต้นทุนชีวิตที่สูงแล้วยังโคตรขยันทำงาน มุ่งมั่น อดทน กว่าคนปกติครับ

ถ้าคุณเป็นลูกเจ้าสัวอยู่แล้วอยากพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถด้วยตนเอง จงฟังแนวทางนี้

1. กลับไปเรียนรู้จาก ‘รากเหง้า’ ของธุรกิจตัวเองให้ลึกซึ้ง

ด้วยการลุยงานจริงตั้งแต่เริ่มต้น อย่าพึ่งเริ่มทำงานตั้งแต่ฝ่ายบริหารทันที แต่ลองไปทำงานในหลายๆ แผนกที่ต้องลงมือทำจริง เช่น แผนกขาย แผนกการตลาด แผนกการผลิต ฝ่ายจัดซื้อ ฯลฯ เพื่อเรียนรู้กระบวนการขายตั้งแต่ต้นจนจบ คุณจะได้เห็นปัญหาในการทำงานที่แท้จริงและทำงานเก่งเร็วขึ้นมากๆ ครับ ความเป็นลูกทายาทฯ ทำให้ลูกน้องมือเก่งๆ ในองค์กรคุณพร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงหรือเป็นที่ปรึกษาให้คุณอยู่แล้ว จงทำตัวให้น่ารักกับรุ่นพี่ที่เป็นมือโปร ให้พวกเขาสอนงานให้ ทำตัวให้นอบน้อม รับรองว่าคุณจะเก่งเร็วขึ้นมากๆ ครับ

2. แนะนำว่าควรออกจาก ‘Comfort Zone’ ด้วยการไปเป็นลูกน้องคนอื่น

ถ้าเป็นไปได้หลังเรียกจบมาใหม่ๆ ควรขอที่บ้านไปหาประสบการณ์จากบริษัทหรือองค์กรที่ไม่ใช่ครอบครัวเราเพื่อหาประสบการณ์หรือเรียนรู้วัฒนธรรมการทำงานที่หลากหลาย เข้าใจความรู้สึกของการเป็นลูกน้องคนอื่น ผมแนะนำว่าจะดีมากๆ ถ้าคุณไปทำงานในแผนกที่หาเงินโดยตรงเข้าบริษัท เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด ฯลฯ เพื่อประสบการณ์ในส่วนนี้ไปประยุกต์กับธุรกิจของที่บ้านคุณครับ ที่สำคัญคือคุณจะได้รู้จักเครือข่ายใหม่ๆ นอกบ้านคุณอีกด้วย เช่น หัวหน้างานเก่งๆ CEO ตัวเทพ หรือเพื่อนร่วมงานตัวท็อป เป็นต้น

3. เรียนรู้และพัฒนาทักษะที่ขาดหายไป

เนื่องจากต้นทุนชีวิตที่ดีอยู่แล้ว การลงทุนกับตัวเองด้วยการไปเรียน ปอโท หรือคอร์สต่างๆ เช่น Personal Branding, Sales, Finance, Marketing ฯลฯ ที่คุณมองว่ายังไม่แข็งและเป็นจุดอ่อนก็จะช่วยให้คุณเก่งเร็วขึ้นมากและได้คอนเนคชั่นทางธุรกิจอีกเพียบ มีบทเรียนในยุคนี้ที่ทำให้คุณออกจากร่มเงาของนามสกุลที่บ้านได้คือการสร้าง Personal Branding ที่เป็นตัวของคุณเอง ทั้งเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิตผ่านการทำคอนเทนต์ต่างๆ ตัวอย่างคนที่สำเร็จ เช่น พี่เบียร์ ใบหยก คุณป๊อก ไมนด์เซ็ต เป็นต้น

4. ใช้ความได้เปรียบเรื่องเครือข่ายและพันธมิตร

เรื่องนี้เป็นข้อได้เปรียบเหนือคนสร้างจาก 0 หลายๆ คนเลยก็ว่าได้ จงใช้มันในการขยายธุรกิจหรือเอื้อประโยชน์ ที่สำคัญคือควรเป็นผู้ให้ มากกว่ารับ อย่าเป็นคนเอาแต่ได้ การทำกิจกรรมต่างๆ กับคอนเนคชั่นก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เช่น ตีกอล์ฟ เรียน ปาร์ตี้ ฯลฯ ที่สำคัญคือสามารถหา Mentor เก่งๆ จากคอนเนคชั่นที่มีความเป็นกลาง ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับครอบครัวมาเป็นพันธมิตรหรือกุนซือได้

5. พัฒนาวิสัยทัศน์และทำตามคนสำเร็จ

จงพัฒนาตัวเองเสมอ กล้าที่จะเสนอแนวคิดใหม่ๆ หรือตั้งคำถามกับวิธีการทำธุรกิจแบบเดิมๆ ของครอบครัว รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เปิดใจเรียนรู้จากผู้อื่น และชื่นชมความคิดเห็นที่ดี เมื่อคุณเริ่มสร้างผลงานและแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น คุณจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงานและคนรอบข้างได้

การเดินทางจาก “ลูกเจ้าสัว” ที่มีต้นทุนที่ดี ไปสู่ “ผู้สร้างความสำเร็จด้วยตนเอง” นั้น ต้องอาศัยความมุ่งมั่น ความถ่อมตน และความกล้าที่จะออกจากพื้นที่สบาย (Comfort Zone) อย่างมหาศาลครับ แต่เมื่อคุณทำได้ คุณจะสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับตัวเอง ธุรกิจ และได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพราะนามสกุลครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts