เหมาะสมหรือไม่ กับการเป็นเพื่อนกับลูกค้าใน Facebook (พร้อมเทคนิคการขายขั้นเทพ)
เชื่อหรือไม่ว่านักขายกว่า 80% “ไม่ได้เป็นเพื่อนกับลูกค้าในเฟซบุ้ค” ซึ่งเหตุผลสุดแปลกก็คือ “กลัวไม่มีความเป็นส่วนตัว” ทั้งๆ ที่เฟซบุ้คทำให้คุณ “ใกล้ชิด” กับลูกค้ามากขึ้นไปอีก เรียกได้ว่า “เห็นชีวิตส่วนตัว” แม้กระทั่งความคิดของลูกค้าว่ากำลังคิดหรือทำอะไรอยู่ ทั้งๆ ที่มันเทพขนาดนี้ ผมจึงขอฟันธงเลยว่าเฟซบุ้คกับลูกค้านั้น “สุดยอด” และเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง นอกจากสร้างความสนิทสนมบนโลกออนไลน์ได้แล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการปิดการขายมากขึ้นอีกต่างหาก นี่คือเหตุผลที่คุณควรลงมือทำด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นแค่จัดซื้อหรือ CEO ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ดังนี้ครับ
1. ข้อดีของการเป็นเพื่อนลูกค้าบนเฟซบุ้ค
– ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น: ช่วยสร้างความไว้วางใจและความเป็นกันเองนอกจากการทำธุรกิจ
– โอกาสในการขาย: เป็นช่องทางสำคัญในการ “สอดส่อง” ไลฟ์สไตล์ ความสนใจ งานอดิเรก ข่าวสารทางธุรกิจ แม้กระทั่งความกังวลใจ (Pain Point) ซึ่งมีโอกาสแน่นอนที่สิ่งที่เราขายจะตอบโจทย์ ทำให้ปรับกลยุทธหรือนำเสนอขายได้อย่างแม่นยำ
– สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ลูกค้าเห็นในโลกออนไลน์: เพราะเราสามารถเป็นคนที่น่าเชื่อถือ มี “Personal Branding” จากการโพสต์หรือลงสิ่งที่สร้างความเป็นมืออาชีพ แม้กระทั่งการนำเสนอไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ การทำงานแบบมือโปร ผลงานกับลูกค้ารายอื่นๆ ทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้ามากขึ้นไปอีก (เผลอๆ ลูกค้ามากดไลค์)
2. ความเสี่ยงของการเป็นเพื่อนลูกค้าบนเฟซบุ้ค (ถ้าใช้งานไม่เหมาะสม)
– ลูกค้าอาจมีความรู้สึกอึดอัด:การโพสต์ แชร์ เรื่องอะไรซี้ซั้ว ดราม่า Toxic เรื่องไม่เป็นเรื่อง ลูกค้าอาจรำคาญลูกกะตาได้ ความสัมพันธ์ก็แย่ลงตามลำดับ
– เสียโอกาสด้านการขาย: ถ้าคุณเอาแต่ยัดเยียดหรือวันๆ เอาแต่โพสต์ขายสินค้า ฮาร์ดเซลล์ แม้กระทั่งการทักข้อความส่วนตัวเพื่อมุ่งขายมากเกินไป ลูกค้าอาจถึงขั้น “Unfollow” เพื่อปิดกั้นการมองเห็นเลยด้วยซ้ำ
– เสียความน่าเชื่อถือ: จากการโพสต์ แชร์ คอมเมนต์ซี้ซั้วกับเรื่องอะไรที่ไร้สาระ ไม่เป็นมืออาชีพ อย่างที่บอกไปเมื่อสักครู่นี้ จะทำลายความน่าเชื่อถือของคุณอย่างรวดเร็ว
3. จงเตรียมโปรไฟล์ให้ “พร้อมขายตัวเองได้” อย่างสม่ำเสมอ
– ชื่อและรูปโปรไฟล์: จงใช้ ชื่อ-นามสกุลจริง และรูปโปรไฟล์ที่ดู สุภาพ น่าเชื่อถือ และเป็นมืออาชีพ เช่น ใส่สูทหรือชุดธุรกิจ ทั้งหมด
– ทำความสะอาดประวัติ: ลบรูปภาพหรือโพสต์ที่สุ่มเสี่ยง ต่อการทำให้เสียภาพลักษณ์ เช่น โพสต์ดราม่า การเมืองที่จัดจ้าน หรือรูปดื่มสุราหนัก เมาหัวทิ่ม จำไว้ว่าโปรไฟล์คุณคือ “การนำเสนอตัวคุณแบบออนไลน์”
– ข้อมูลชีวประวัติ (About Me): กรอกข้อมูลการศึกษา ตำแหน่งงาน และบริษัทให้ชัดเจน เพื่อสร้าง จุดร่วม Point of Origin กับลูกค้า เช่น จบสถาบันเดียวกัน หรือมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เป็นต้น
4. เทคนิคการขอเป็นเพื่อนแบบมือโปร
– รอจังหวะที่เหมาะสม: อย่าพึ่งรีบแอดทันที หลังจากการประชุมครั้งแรก ให้รอจนกว่าจะมีความสัมพันธ์ในทางธุรกิจเกิดขึ้นระดับหนึ่งก่อน เช่น มีการนัดเจอหน้าแล้ว 2-3 ครั้ง หรือมีการเข้าหน้างานสาธิตสินค้าแล้ว เป็นต้น
– ใช้เหตุผลเชิงธุรกิจ: เมื่อกดแอด ให้ ส่งข้อความส่วนตัวผ่านไลน์ ไปพร้อมกันเสมอ โดยระบุเหตุผลที่สมเหตุสมผล เช่น ขออนุญาตแอด Facebook เพื่อสะดวกในการติดต่อเรื่องงานและการอัปเดตข้อมูลเพิ่มเติมที่เราได้คุยกันไว้ เป็นต้น
5. การใช้ Content เพื่อกลยุทธการขาย
– โพสต์ 80/20 Rule: โพสต์เรื่องส่วนตัว เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ 80% และโพสต์เรื่องงานกับธุรกิจ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 20% ซึ่ง 80% ควรเป็นโพสต์เชิงบวก การพัฒนาตนเอง งานอดิเรก ความคิดสร้างสรรค์ อีก 20% คือการแชร์บทความอุตสาหกรรม แนวคิดธุรกิจ หรือความสำเร็จของบริษัท โดยไม่ขายตรง เป็นอันขาด
– คอยจับตาดูว่าลูกค้าโพสต์เกี่ยวกับปัญหาในชีวิตประจำวันหรือธุรกิจหรือไม่ เช่น บ่นเรื่องคู่แข่ง บ่นเรื่องระบบเดิมๆ บ่นเรื่องปัญหาด้านการทำงาน ฯลฯ เพื่อใช้เป็น ข้อมูลเริ่มต้น หรือ ข้อมูลเชิงลึก ในการนำเสนอขายครั้งต่อไป
– การมีส่วนร่วมแบบไม่รุกล้ำ เช่น กด Like หรือ Love โพสต์ที่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวมากนักของลูกค้า การแสดงความยินดีให้กับลูกค้า วันเกิดและวันสำคัญของลูกค้า และจง แสดงความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ ในโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอย่างสุภาพ เพื่อให้ลูกค้าเห็นการมีตัวตนของคุณบนฟีด ลูกค้าจะจดจำคุณได้แน่นอน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อเป็นเพื่อนกันแล้ว จง ห้าม ใช้ Facebook ส่วนตัวเพื่อส่งข้อความหรือแท็กขายของแบบโจ่งแจ้งโดยเด็ดขาด เพราะจะถือว่าคุณรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว และความน่าเชื่อถือจะลดลงอย่างรวดเร็วครับ
Comments
0 comments
