ฉากขายของในภาพยนตร์ที่นักขายไม่ควรพลาดและควรค่าแก่การศึกษา
หลายๆ คนมักไม่รู้ว่านักขายเก่งๆ นั้นเขา ‘ปล่อยของ’ กันอย่างไร ซึ่งก็แหงล่ะครับ ถ้าหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานของคุณไม่เทพจริงๆ ก็คงไม่มีใครโชว์การขายของจากของจริงให้เราดู ซึ่งผมมีข่าวดีมากฝากครับว่าการศึกษาบุคลิก วิธีการขาย หรือภาษากายทั้งหมดของนักขายที่เท่ห์ๆ มีสไตล์ สามารถหาดูได้จากในหนังนั่นเอง เพราะในหนังหลายๆ เรื่องที่ผมจะยกตัวอย่างนี้ถือว่าเป็นพลังของนักแสดงที่สามารถ ‘ขายของ’ ที่ทำให้เราเชื่อได้ว่ามันสามารถทำได้จริงๆ ซึ่งการขายของจริงก็ไม่ต่างกับการแสดงความเป็นมืออาชีพต่อหน้าลูกค้าเพื่อปิดการขายนั่นเอง มาดูกันว่ามีหนังเรื่องอะไรบ้างที่คุณต้องไปหาดูให้ได้ทุกช่องทางครับ
1. The Wolf of Wall Street – ตำนานสคริปต์ Cold Call และ Sell me this pen ขั้นเทพ
นี่คือหนังที่เปี่ยมไปด้วยสีสันและผมขอยกเป็น ‘หนังขึ้นหิ้ง’ ที่ทำให้เซลล์ร้อยล้านดังขึ้นมาได้ก็เพราะการเขียนคอนเทนต์เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้นี่แหละครับ (กราบบบบ)
ฉากที่ต้องดู
– “Sell me this pen” จงขายปากกาให้หน่อย: ฉากในตำนานตอนคัดลูกน้องเข้าทีมที่พระเอกให้บรรดาลูกน้องขายปากกาให้หน่อย บทเรียนสำคัญคือการไม่เริ่มขายที่ตัวปากกาว่ามันเทพอย่างโน้นอย่างนี้ แต่เป็นการ สร้างความต้องการ หรือ สร้างปัญหา ที่ปากกาจะเข้ามาแก้ เช่น “คุณต้องใช้ปากกานี่เซ็นชื่อให้ผมหน่อยเพราะคุณไม่มีปากกา” หรือ “ถ้าคุณไม่มีปากกานี่ คุณจะพลาดโอกาสสำคัญไป” เป็นต้น
– ฉากโทรขายหุ้นและการทำ Cold Call หลายๆ ฉาก: พระเอกเทพมากๆ ด้วยการสอนให้ลูกน้องขายหุ้นได้คล่องแคล่วเหมือนเขาจากของจริงและด้วยการทำสคริปต์โทรที่ดึงดูดและเร้าใจ น่าเชื่อถือ ถือว่าเป็นหลักการสำคัญที่ทำให้นักขายเก่งเหมือนๆ กันได้ในพริบตา พระเอกและเพื่อนไม่ได้แค่ขายหุ้น แต่ขาย ‘ความฝัน’ และ ‘โอกาส’ ในการรวย
สิ่งที่นักขายได้เรียนรู้
– พลังแห่งการสร้างความต้องการ: อย่าเพิ่งขายสิ่งที่มีอยู่ แต่จงสร้างความต้องการให้ลูกค้าอยากได้ก่อน
– ความมั่นใจและพลังงานสูง: ในหนังมีฉากเดือดๆ ตอนขายที่นักขายทุกคนมีแรงกระตุ้นอย่างบ้าคลั่งจากเรื่องเงินและค่าตอบแทน พวกเขาเป็นแค่ชาวบ้านตาดำๆ แต่ฝึกตัวเองจนมั่นใจและขายหุ้นให้คนรวยหรือใครก็ได้
– สคริปต์การโทรที่สามารถฝึกได้: ถ้าใครทำธุรกิจที่ต้องเน้นโทรทำนัดหรือขายผ่านโทรศัพท์ ต้องดูวิธีจากหนังเรื่องนี้เลย
2. Glengarry Glen Ross – หนังการขายยุค Gen-X ที่สมัยนั้นไม่มีเทคโนโลยีช่วยเหลือใดๆ และสะท้อนชีวิตนักขาย
เป็นอีกเรื่องที่ ‘หาดูแทบไม่ได้แล้ว’ นักแสดงดังทุกคนในเรื่อง (มี อัล ปาชิโน่ เล่นด้วย) ซึ่งหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับเซลล์แมนยุค Gen-X ที่ต้องพึ่งพา ‘ลีด’ ที่ดีและมีปัญญาซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่พวกเขาเป็นตัวแทนขายได้ เรื่องนี้สะท้อนชีวิตนักขายที่กำลังดิ้นรนหายอดขายอย่างหนัก ไม่งั้นก็ตกงาน ทำให้พวกเขาต้องทำทุกวิถีทางแม้กระทั่ง ‘วิธีสกปรก’ เพื่อปิดการขาย
ฉากที่ต้องดู
– ABC Always be Closing: เป็นฉากที่หัวหน้าเซลล์แมนตัวท็อปจากสำนักงานใหญ่ถูกส่งมาให้คำประกาศอันดุดันเพื่อกดดันทีมขาย เขากล่าวคำเด็ด “Always Be Closing” ซึ่งเป็นปรัชญาการขายที่เน้นย้ำว่าทุกการขายกับลูกค้าจะต้องปิดการขายให้ได้ทุกกรณี (ซึ่งนักขายยุคนั้นถูกสอนให้ต้องปิดการขายให้ได้ไม่ว่าจะต้องพยายามมากแค่ไหนก็ตาม)
– การปิดการขายของตัวละครที่ชื่อ Ricky Roma (อัล ปาชิโน่ เล่น): จริงๆ ในหนังมีคนนึงชื่อ Ricky Roma ซึ่งเป็นนักขายที่เก่งที่สุดในทีม แต่ตอนที่เขาดิ้นรนจะปิดยอดขาย จึงเลือกใช้ ‘ทางเทาๆ’ ในการบงการและล่อลวงลูกค้าเพื่อให้ปิดการขายให้ได้ ถือว่าเป็นฉากที่ใช้ศิลปะการโน้มน้าว มีชั้นเชิง ต้อนลูกค้าจนจนมุมได้อย่างชาญฉลาด
สิ่งที่นักขายได้เรียนรู้
– ความสำคัญของการปิดการขาย: การขายทุกกระบวนการต้องอย่าลืมปิดการขายทุกเคส ถ้าทุกอย่างเป็นใจและเข้าทางก็ต้องทำให้ลูกค้าซื้อให้ได้
– การสร้างความกดดันลูกค้า: บางครั้งการสร้างความเร่งด่วนหรือความขาดแคลนเพื่อเร่งปิดการขายก็เป็นสิ่งจำเป็น (แต่ต้องไม่หลอกลวงลูกค้า)
– การอ่านลูกค้า: นักขายที่เก่งจะเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไรและมีข้อโต้แย้งอะไรอยู่ในใจ ทำให้ตอบความกังวลใจลูกค้าได้อย่างราบรื่น
3. The Pursuit of Happyness – รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลองและการขายแบบเนียนๆ กับ C-Level
หนังในตำนานอีกเรื่องที่ดูทีไรก็มีพลังกับไปต่อสู้กับโลกแห่งการขายทุกที สร้างจากเรื่องจริงของตัวพระเอกที่ไม่มีแม้แต่บ้านจะอยู่ ลูกติด เป็นโฮมเลส แต่ฝึกฝนตัวเองกับการเทรนนิ่งเป็นพนักงานขายหุ้นและได้เป็นเจ้าของธุรกิจในที่สุด ฉากสุดยอดในเรื่องมีหลายฉาก เช่น
ฉากที่ต้องดู
– การทำ Cold Call ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด: พระเอกของเราต้องบริหารเวลาเพราะต้องไปรับลูก จึง ‘เล่นนอกสคริปต์’ ด้วยการโทรหาระดับ ‘หัวๆ’ ของบริษัทลูกค้าเพื่อประหยัดเวลา ที่สำคัญคือทุกวินาทีนั้นแทบไม่ขยับตัวหรือออกไปพักเลยเพราะต้องบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด แถมได้ Super Connection จากการโทรหาระดับหัวๆ ได้เยอะจนงานก้าวหน้า
– การใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ: พระเอกพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น การไม่วางหูโทรศัพท์เพื่อประหยัดเวลา ไม่กินน้ำเพราะจะได้ไม่ต้องฉี่บ่อยๆ และการจัดตารางเวลาอย่างแม่นยำ
– การขายเครื่องสแกนกระดูก: เป็นสินค้าที่แพงและขายยากมากๆ ที่สำคัญคือต้องไปขายคุณหมอแล้วต้องทำเองทุกอย่างตั้งแต่แบกของไปขาย สาธิต หรือแม้กระทั่งซ่อมเครื่องให้กลับมาใช้งานได้ เชื่อหรือไม่ว่าพระเอกขายเองได้จนหมด ความวิริยะอุตสาหะและไม่ย้อท้อคือสิ่งสำคัญ ลูกค้าก็ขายยาก เป็นคนมีความรู้ การศึกษา แต่พระเอกก็สามารถปิดการขายได้
สิ่งที่นักขายได้เรียนรู้
– ความมุ่งมั่นและความอุตสาหะ: ความสำเร็จในการขายมักมาจากการลงมือทำอย่างต่อเนื่องและไม่ยอมแพ้
– การบริหารเวลา: การใช้เวลาอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในการขายที่ต้องเน้นปริมาณการทำกิจกรรมการขาย เช่น โทรทำนัด โทรขายของ ฯลฯ
ทัศนคติเชิงบวก: แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก การรักษาทัศนคติเชิงบวกเป็นสิ่งสำคัญที่จะขับเคลื่อนไปข้างหน้า
4. Boiler Room – หนังขายหุ้นด้วยสคริปต์สุดเจ๋งและเป็นตำนานวิน ดีเซล ขายหุ้น
เรื่องนี้ได้มีโอกาสดูเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วช่วงบ้าเล่นหุ้นตอนเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่น่าเชื่อว่าวิน ดีเซล แห่งเดอะฟาสต์ ตอนหนุ่มๆ สามารถขายหุ้นและเป็นเซลล์แมนได้ด้วย (ฮา) ฉากเด็ดๆ ในเรื่องมีหลายฉากตั้งแต่ฉากคัดพนักงานขายหุ้นใหม่ ไปจนถึงตอนได้ขายหุ้นจริงๆ
ฉากที่ต้องดู
– สคริปต์การขายหุ้นผ่านโทรศัพท์ที่ทรงพลัง: แม้จะเป็นการหลอกลวงหรือใช้เรื่องของความเชื่อมั่นเรื่องความร่ำรวยเป็นหลัก (คล้ายๆ Wolf of wall street) แต่สคริปต์ที่ใช้ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นอารมณ์และสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างรวดเร็ว
– ฉากคัดพนักงานขายหุ้นหน้าใหม่โดย Ben Affleck: เป็น 5 นาทีที่ผมเคยทำคลิปแปลไทยออกมา [Link: https://www.youtube.com/watch?v=MVNC0Jpp3LY] ความเทพคือไม่ได้มีการสัมภาษณ์อะไรแต่เป็นการบอกว่าทำงานกับองค์กรนี้แล้วพวกเขาจะได้อะไร ถือว่าพวกนักขายหน้าใหม่นั้น ‘ติดกับ’ เหลี่ยมขององค์กรแบบที่ไม่รู้ตัว
สิ่งที่นักขายเรียนรู้
– ความสำคัญของสคริปต์: การมีสคริปต์ที่ผ่านการคิดมาอย่างดีสามารถช่วยให้นักขายมือใหม่มีทิศทางและมั่นใจมากขึ้น (แต่ต้องยืดหยุ่นให้เข้ากับสถานการณ์)
– การสร้างความน่าเชื่อถืออย่างรวดเร็ว: การใช้คำพูดที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญและความมั่นใจสามารถช่วยให้ลูกค้าเชื่อใจได้ตั้งแต่ต้น
– การกระตุ้นให้ตัดสินใจทันที: การสร้างความรู้สึกเร่งด่วน (Scarcity & Urgency) สามารถกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจได้เร็วขึ้น (แต่ต้องมีจริยธรรม)
5. Joy – ชีวิตลำบากของสาวนักธุรกิจพันล้าน
เรื่องนี้ถือว่าใหม่ล่าสุดในลิสต์นี้ นางเอกก็ดังมาก (เล่น Hunger Games) สร้างจากเรื่องจริงของ Joy Mangano ผู้คิดค้น Miracle Mop (ไม้ม็อบใน TV Direct) และกลายเป็นนักประดิษฐ์กับผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ภาพยนตร์แสดงให้เห็นถึงการขายที่ไม่ใช่แค่การพูด แต่คือการ แสดงให้เห็นถึงคุณค่าอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นก็คือ ‘การสาธิต’ นั่งเองครับ
ฉากที่ต้องดู
– การสาธิตสินค้าทางโทรทัศน์: Joy ไม่ได้แค่พูดถึงไม้ถูพื้นธรรมดาๆ แต่เธอสาธิตวิธีการใช้ การแก้ปัญหาที่ลูกค้าเจอ และความง่ายดายในการใช้จริง ทำให้ผู้ชมมองเห็นภาพและอยากเป็นเจ้าของ นี่คือตำนาน TV Direct ของจอร์จ และ ซาร่าห์เลยก็ว่าได้
สิ่งที่นักขายได้เรียนรู้
– พลังของการสาธิต: การแสดงให้เห็นว่าสินค้าแก้ปัญหาได้อย่างไร มีประสิทธิภาพแค่ไหน ดีกว่าการพูดเป็นร้อยเท่า ที่สำคัญคือถ้าทำให้พวกเขามีส่วนร่วมในการสาธิต ทดลองใช้ด้วยตัวเองก็ยิ่งปิดการขายได้แบบโคตรง่าย
– ความหลงใหลและความเชื่อในสินค้า: เมื่อนักขายเชื่อในสิ่งที่ตัวเองขายอย่างแท้จริง พลังนั้นจะส่งไปถึงลูกค้าและสร้างความไว้วางใจ นักขายต้องเชื่อมั่นในสินค้าที่ตัวเองขายแล้วภาษากายมันจะออกมาจนทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นเอง
– การเล่าเรื่องผ่านประสบการณ์: Joy เล่าเรื่องว่าไม้ถูพื้นของเธอช่วยให้ชีวิตแม่บ้านง่ายขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าจำนวนมากเข้าใจและมีความรู้สึกร่วมได้ ยอดขายเลยเกิดขึ้นแบบถล่มทลาย (แนะนำว่าต้องหาเรื่องนี้มาดูให้ได้นะครับ)
ภาพยนตร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้ความบันเทิง แต่ยังเป็นแหล่งรวมบทเรียนอันล้ำค่าสำหรับนักขายทุกระดับ การศึกษาฉากเหล่านี้จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการขาย การโน้มน้าวใจ และการเข้าใจลูกค้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ลองหยิบหนังเหล่านี้มาชม และวิเคราะห์เทคนิคที่ใช้ดูนะครับ คุณอาจจะพบเคล็ดลับใหม่ๆ ที่นำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้
Comments
0 comments