Prompt Command ที่ควรรู้ในการสั่ง ‘AI’ ให้เป็นทาสของคุณ สร้างยอดขายร้อยล้าน (ไม่ใช่คุณเป็นทาสมัน) Part 1.

ตั้งแต่วันที่มี AI “อุบัติขึ้นมา” ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT หรือ Gemini จนถึงเวลานี้ผมก็กล้าฟันธงครับว่ามันเก่ง เร็ว เฉียบขาด มากกว่าเซลล์เทรนเนอร์หรือนักธุรกิจหน้าไหน (แม้กระทั่งตัวผมเอง) ความสุดยอดของมันก็คือมันคิด สร้าง วิเคราะห์ การขายระดับสูงได้เก่งกว่า “เด็กศศินทร์ฯ” อย่างผม ซึ่งเมื่อก่อนเคยมีค่าตัว 300,000 บาท และมีฉายาว่าเซลล์ร้อยล้าน แถมยังมีท่าทีว่ามันจะพัฒนาตัวเองได้อีก

หลายคนอาจจะเถียงว่า AI จะมีสู้ “คนกับคน” ที่เห็นหน้าเห็นหลังกันได้ยังไง มันไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ ซึ่งผมไม่เถียงครับ แต่ที่ผมกำลังจะบอกว่าทำไมมันถึงมีค่าตัวระดับ 300,000 ได้ก็เพราะว่าความสามารถในการวิเคราะห์ ตีโจทย์ หาจุดตัดสินหรือมุมในการเอาชนะระหว่างการเทียบสินค้า สร้างสคริปต์หรือเทคนิคขจัดข้อโต้แย้ง หรือความสามารถในการทำ Proposal, ROI, TCO, etc. ทั้งงานรัฐและเอกชน ซึ่งส่วนนี้นี่แหละครับที่โคตรน่าทึ่ง

ผมจึงขอแชร์ Prompt Command ในการสั่งการ AI ซึ่งใช้ได้ทั้ง GPT และ Gemini (ในเวอร์ชั่นฟรี) เพื่อให้คุณมีลูกน้องนักขายค่าตัว 300,000 ที่ทรงพลัง (ไม่ต้องจ้างผมแล้ว ฮา) มาให้แบบง่ายๆ ดังนี้เลยครับ

Prompt Command 3 หมวด สำหรับการขาย B2B

หมวดที่ 1: การวิเคราะห์ลูกค้าและการบ้านก่อนเข้าพบ

สิ่งที่ต้องการจาก AI และ Prompt Command ตัวอย่างคำสั่ง

1.1 ค้นหา Pain Point หลักๆ ของลูกค้า (ทำการบ้านก่อนเข้าพบ) ด้วยคำสั่ง “จงวิเคราะห์ข่าวสารล่าสุดและรายงานประจำปีของ ชื่อบริษัทลูกค้า เพื่อระบุ ความเสี่ยง 3 อันดับแรก ที่ ตำแหน่งผู้บริหาร เช่น CEO, CTO, CMO, CCO, etc. (ที่คุณเข้าพบตามสินค้าและโซลูชั่น) กำลังให้ความสำคัญในปีนี้”

ตัวอย่างเช่น

สินค้าโซลูชั่นของเราเป็นเวชภัณฑ์ปศุสัตว์ของบริษัท TFIT Feed Golf มีลูกค้าเป็นฟาร์มและบริษัทขนาดใหญ่มากมาย ต้องการนำเสนอโซลูชั่นครั้งแรกให้กับบริษัทสหฟาร์มซึ่งเราไม่เคยเข้าไปขายมาก่อน

จงวิเคราะห์ข่าวสารและรายงานประจำปีของสหฟาร์มเพื่อระบุความเสี่ยงหรือ pain point สามอันดับแรกที่ผู้บริหารให้ความสำคัญในปีนี้

ผลลัพธ์ที่ได้

สหฟาร์มเป็นผู้ผลิตและส่งออกไก่รายใหญ่ที่เพิ่ง ฟื้นตัวจากภาวะขาดสภาพคล่อง (ศาลล้มละลายกลางสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการในปี 2565) และกลับมาทำกำไรในหลักพันล้านบาท (ข้อมูลปี 2565) ซึ่งสะท้อนว่าผู้บริหารชุดปัจจุบัน (ตระกูลโชติเทวัญ) ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับ ความมั่นคงทางการเงิน และ ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

3 ความเสี่ยง/Pain Point หลักของผู้บริหารสหฟาร์ม

ความเสี่ยงด้านต้นทุนการผลิตและผลกำไร (Financial Stability & Cost Control)

แม้บริษัทจะกลับมาทำกำไร แต่ยังมีประวัติปัญหาทางการเงินรุนแรงในอดีต และยังต้องเผชิญกับต้นทุนที่ผันผวนสูง (เช่น ราคาอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น) ผู้บริหารจึงให้ความสำคัญสูงสุดกับการควบคุมค่าใช้จ่ายและการเพิ่มมาร์จิ้น (Profit Margin)

  • Pain Point ที่เกี่ยวข้องกับเวชภัณฑ์: ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการป้องกัน/รักษาโรคระบาดที่จัดการได้ไม่ดี
  • สมมติฐานการนำเสนอ: ผู้บริหารต้องการโซลูชันที่ ลดต้นทุนโดยรวม (Total Cost of Ownership) ไม่ใช่แค่ราคาเวชภัณฑ์ แต่ต้องพิสูจน์ได้ว่าช่วยลดอัตราการตาย/อัตราการป่วยของสัตว์ได้อย่างชัดเจน เพื่อให้ต้นทุนต่อหน่วย (Cost per Bird) ลดลง
  • คำถามเปิดสำหรับการเริ่มต้น: “ในฐานะที่เป็นบริษัทที่เพิ่งกลับมาทำกำไร การควบคุมต้นทุนต่อหน่วยของไก่ (Cost per Bird) เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับท่าน การบริหารจัดการสุขภาพสัตว์ปัจจุบันมีช่องว่างตรงไหนที่อาจทำให้ต้นทุนพุ่งสูงขึ้นโดยไม่จำเป็นบ้างครับ/คะ?”

ความเสี่ยงด้านคุณภาพและการส่งออก (Product Quality & International Compliance)

สหฟาร์มเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ ซึ่งต้องเผชิญกับการแข่งขันระดับโลก และมาตรฐานของประเทศคู่ค้าที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) และสุขภาพสัตว์ (Animal Welfare)

  • Pain Point ที่เกี่ยวข้องกับเวชภัณฑ์: การใช้ยาหรือสารเคมีที่อาจทิ้ง สารตกค้าง (Residue) ที่ผิดกฎหมาย หรือการมีอัตราการป่วยที่ทำให้คุณภาพเนื้อไก่ไม่สม่ำเสมอ
  • สมมติฐานการนำเสนอ: ผู้บริหารต้องการเวชภัณฑ์ที่ช่วยยกระดับ มาตรฐานฟาร์มสู่ระดับสากล และลดความเสี่ยงจากการถูก ปฏิเสธการส่งออก จากปัญหาด้านคุณภาพหรือสารตกค้าง
  • คำถามเปิดสำหรับการเริ่มต้น: “ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดส่งออกให้ความสำคัญกับมาตรฐานการใช้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic-free) อย่างมาก โซลูชันด้านเวชภัณฑ์ของเราจะช่วยให้ท่าน มั่นใจใน Zero-Residue ได้อย่างไรบ้าง เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดยุโรปและญี่ปุ่น?”

ความเสี่ยงด้านการดำเนินงานอย่างยั่งยืน (ESG & Energy Costs)

สหฟาร์มกำลังลงทุนในด้านพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง (โครงการ Solar Farm ร่วมกับ WHAUP มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท เพื่อลดต้นทุนพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริหารกำลังมุ่งสู่การดำเนินงานตามหลัก ESG (Environmental, Social, Governance)

  • Pain Point ที่เกี่ยวข้องกับเวชภัณฑ์: การใช้ยาหรือวิธีการรักษาที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (เช่น น้ำเสีย/ของเสียจากฟาร์ม) หรือไม่สอดคล้องกับแนวคิด ความยั่งยืน
  • สมมติฐานการนำเสนอ: ผู้บริหารต้องการเวชภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพสูง และช่วยให้บริษัทสามารถ บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ควบคู่ไปกับการทำกำไร
  • คำถามเปิดสำหรับการเริ่มต้น: “เนื่องจากท่านลงทุนใน Solar Farm เพื่อความยั่งยืนแล้ว ในด้านการจัดการสุขภาพสัตว์ ท่านมีแผนการใช้เวชภัณฑ์ที่สนับสนุนเป้าหมาย Green Production และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากฟาร์มอย่างไรบ้างครับ/คะ?”

1.2 วิเคราะห์คู่แข่งเพื่อทำการบ้านว่าลูกค้าส่วนใหญ่มักมี “เจ้าที่” ซึ่งเราควรจะรู้จัก ด้วยคำสั่ง “”จงเปรียบเทียบข้อเสนอและจุดอ่อนของ [ชื่อคู่แข่งหลัก] เทียบกับ [ชื่อสินค้า/บริการของคุณ] โดยเน้นไปที่ จุดที่เราเหนือกว่า ที่ควรใช้ในการนำเสนอ”

ตัวอย่างเช่น

“คู่แข่งของเราคือบริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) และ กลุ่มบริษัท เวทโปรดักส์ กรุ๊ป ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าถิ่นในสหฟาร์ม จงวิเคราะห์การเปรียบเทียบธุรกิจของเราด้านสินค้ากับคู่แข่งโดยเน้นไปที่จุดที่เราเหนือกว่าและสร้างความแตกต่างด้วย Unique Selling Point”

ผลลัพธ์ที่ได้

คู่แข่งที่เป็นผู้นำตลาดอย่าง ไบโอซายน์ และ เวทโปรดักส์ กรุ๊ป นั้นแข็งแกร่งในฐานะผู้จำหน่าย Traditional Rx หรือยาและสารเสริมอาหารแบบทั่วไป ที่เน้นการรักษาที่รวดเร็วและราคาตามปริมาณ แต่ความสำเร็จในการส่งออกของสหฟาร์มต้องการมากกว่านั้น

TFIT Feed Gold นำเสนอแนวคิดที่แตกต่าง โดยเปลี่ยนจากการซื้อยาแบบเดิม มาสู่ โซลูชันสุขภาพสัตว์แบบแม่นยำ (Precision Health) ที่เน้นการสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและคาดการณ์ได้ ซึ่งนี่คือจุดที่เราเหนือกว่าคู่แข่งในทุกมิติ:

จากการลดราคาสินค้า สู่การลด ‘ต้นทุนรวม’ (Total Cost of Ownership – TCO)

คู่แข่งส่วนใหญ่มักแข่งขันกันที่ ราคาต่อหน่วยของผลิตภัณฑ์ (Price per bottle) ซึ่งเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของต้นทุนทั้งหมด แต่ TFIT Feed Gold มองไปที่ภาพรวม นั่นคือ ต้นทุนต่อหน่วยผลผลิต (Cost per Bird)

  • จุดที่เราเหนือกว่า: เราไม่ได้ขายยา แต่เราขาย ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) โซลูชันของเราช่วยลด ค่าใช้จ่ายแฝง ที่สำคัญ เช่น อัตราการตายที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ, ค่าแรงในการดูแลสัตว์ป่วยที่น้อยลง, และประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ (FCR) ที่ดีขึ้น ซึ่งแม้เวชภัณฑ์ของเราอาจมีราคาสูงกว่าคู่แข่ง แต่ในท้ายที่สุด เราสามารถพิสูจน์ได้ว่า ต้นทุนรวมในการผลิตไก่ต่อตัวของสหฟาร์มจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด

จากการรักษาตามอาการ สู่ ‘การประกันความเสี่ยงด้านการส่งออก’

สำหรับผู้ส่งออกไก่รายใหญ่อย่างสหฟาร์ม ความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุดคือการที่สินค้าถูก ตีกลับ จากตลาดพรีเมียม (เช่น ญี่ปุ่นหรือยุโรป) เนื่องจากปัญหา สารตกค้าง (Residue) ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด นี่คือความเสี่ยงที่ทำลายทั้งชื่อเสียงและผลกำไร

  • จุดที่เราเหนือกว่า: ในขณะที่สินค้าทั่วไปของคู่แข่งอาจยังเป็นยาที่ต้องใช้เวลาถอนยา (Withdrawal Period) ที่ยาวนานและมีความเสี่ยงหากบริหารจัดการไม่ดี TFIT Feed Gold มุ่งเน้นไปที่โซลูชัน Zero-Residue หรือผลิตภัณฑ์ที่มีระยะเวลาถอนยาที่สั้นเป็นพิเศษ เพื่อให้สหฟาร์มสามารถ มั่นใจ ในทุกขั้นตอนการผลิตว่าสินค้าทุกชิ้นจะผ่านการตรวจสอบมาตรฐานสากล นี่คือการลงทุนที่สร้างความมั่นใจในการส่งออกที่คู่แข่งไม่สามารถให้ได้

จากการบริหารแบบเดิม สู่ ‘การป้องกันเชิงรุกด้วยข้อมูล’

โลกปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เราเชื่อว่าการจัดการสุขภาพสัตว์ต้องมาจากการวิเคราะห์ที่แม่นยำเพื่อไปสู่การ ป้องกันเชิงรุก

  • จุดที่เราเหนือกว่า: เราก้าวข้ามการให้คำแนะนำทางเทคนิคแบบเดิมๆ ของคู่แข่ง มาสู่การใช้ Data-Driven Solutions และการวิเคราะห์ข้อมูลฟาร์ม (Predictive Health) เพื่อช่วยให้สหฟาร์มสามารถคาดการณ์ความเสี่ยงของการระบาดของโรคและปรับแผนการใช้เวชภัณฑ์ได้แบบ แม่นยำ ไม่ใช่แค่การจัดการตามอาการที่เกิดขึ้นแล้ว

สรุป: Unique Selling Proposition (USP) สำหรับสหฟาร์ม

TFIT Feed Gold พร้อมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่นำเสนอโซลูชันสุขภาพสัตว์แบบ Precision Health ที่ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพในการรักษา แต่ยังช่วย ลดต้นทุนต่อหน่วยผลผลิตอย่างยั่งยืน และ รับรองมาตรฐาน Zero-Residue เพื่อให้สหฟาร์มสามารถรักษาอัตรากำไรและความมั่นคงในการเป็นผู้นำด้านการส่งออกได้อย่างแท้จริง

1.3 ใช้ AI วิเคราะห์ลูกค้าตามตำแหน่งที่เราต้องการจะเข้าพบเพื่อทำความเข้าใจบทบาทของพวกเขา

ตัวอย่างคำสั่ง

“ทีมขายกำลังได้นัดหมายเข้าพบคุณอนุทิน ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายควบคุมคุณภาพของทางสหฟาร์ม อยากทราบว่า KPI หลักของพวกเขาคืออะไร และพวกเขาน่าจะมี Pain Point อะไรที่โซลูชั่นของ TFIT Feed Gold นั้นตอบโจทย์ที่เป็นการคาดการณ์ที่เป็นไปได้”

ผลลัพธ์ที่ได้

การเข้าพบผู้จัดการฝ่ายควบคุมคุณภาพ (Quality Control Manager) ในบริษัทส่งออกขนาดใหญ่อย่างสหฟาร์ม ถือเป็นโอกาสทอง เพราะเป็นผู้ที่รับผิดชอบต่อ ความเสี่ยงสูงสุด ของธุรกิจ การนำเสนอจึงต้องเน้นที่ การรับประกันความเสี่ยง ไม่ใช่แค่ประสิทธิภาพของยา

นี่คือการวิเคราะห์ KPI หลัก, Pain Point และการคาดการณ์ว่าโซลูชันของ TFIT Feed Gold จะตอบโจทย์ได้อย่างไร:

KPI หลักของผู้จัดการฝ่ายควบคุมคุณภาพ (Khun Anutin)

KPI ของผู้จัดการฝ่าย QC ในธุรกิจไก่ส่งออกจะมุ่งเน้นที่การ ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการทำธุรกิจระหว่างประเทศ

  1. อัตราการผ่านการตรวจสารตกค้าง (Zero-Residue Rate): ต้องมั่นใจว่าผลผลิตทุกรอบการผลิตมีอัตราการปนเปื้อนสารตกค้าง (เช่น ยาปฏิชีวนะ) เป็น ศูนย์ หรือต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตลาดส่งออก (EU, ญี่ปุ่น) กำหนด
  2. ความสม่ำเสมอของคุณภาพผลผลิต (Product Consistency): การรักษาคุณภาพไก่ให้มีมาตรฐานสม่ำเสมอ ทั้งขนาด น้ำหนัก และสุขภาพ เพื่อลดอัตราการถูกปฏิเสธในสายการผลิตและลดความเสียหายระหว่างการแปรรูป
  3. คะแนนการผ่านการตรวจสอบ (Audit Success Score): ความสำเร็จในการผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล (เช่น ปศุสัตว์ไทย) และการตรวจสอบจากลูกค้าต่างชาติ (Client/Third-Party Audits เช่น BRC Global Standard) ซึ่งต้องการข้อมูลการใช้ยาที่ ตรวจสอบย้อนกลับได้

Pain Point สำคัญที่ TFIT Feed Gold สามารถตอบโจทย์

Pain Point ของคุณอนุทินจะเชื่อมโยงโดยตรงกับความต้องการ ความแม่นยำ และ ความน่าเชื่อถือ ในระบบการผลิต

Pain Point: ความไม่แน่นอนของสารตกค้าง (The Residue Headache)

  • คำอธิบาย: การใช้ยาในฟาร์มไม่ว่าจะเพื่อการรักษาหรือป้องกัน ย่อมมีความเสี่ยงที่สารจะตกค้างในเนื้อไก่ หากพลาดแม้แต่แบทช์เดียว อาจนำไปสู่การถูก ระงับการส่งออก หรือ เรียกคืนสินค้า (Recall) ซึ่งเป็นหายนะต่อบริษัทที่เพิ่งฟื้นตัว
  • การตอบโจทย์ของ TFIT Feed Gold:
    • Zero-Residue Assurance: โซลูชัน Precision Health ของเรามุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีระยะเวลาถอนยา สั้นที่สุด หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทิ้งสารตกค้างเลย (Non-Residue Products) เพื่อเป็นเหมือน เกราะป้องกัน ให้กับคุณอนุทินในการส่งออก

Pain Point: ภาระการจัดการเอกสารและความย้อนกลับ (Traceability & Documentation Burden)

  • คำอธิบาย: ระบบ QC ต้องใช้เวลามากมายในการรวบรวมและตรวจสอบเอกสารการใช้ยา การรักษา และวัคซีน เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบ การจัดการข้อมูลแบบเดิมมีความเสี่ยงสูงต่อความผิดพลาดของมนุษย์
  • การตอบโจทย์ของ TFIT Feed Gold:
    • Data-Driven System: โซลูชันของเราไม่ได้มีแค่ผลิตภัณฑ์ แต่ยังมี ระบบการเก็บข้อมูล (Data Management) ที่ช่วยบันทึกการใช้เวชภัณฑ์ การแจ้งเตือนระยะถอนยา และการวิเคราะห์สุขภาพสัตว์แบบ เรียลไทม์ ทำให้คุณอนุทินสามารถ ตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ได้ง่ายและรวดเร็วเมื่อมีการตรวจสอบจากภายนอก

Pain Point: ความแปรปรวนของคุณภาพผลผลิต (Inconsistent Quality Inputs)

  • คำอธิบาย: แม้จะมีการควบคุมคุณภาพที่ดีในโรงงานแปรรูป แต่หากคุณภาพของไก่ที่มาจากฟาร์มมีความแปรปรวนสูง (เช่น อัตราการป่วย การเจริญเติบโตที่ไม่สม่ำเสมอ) ย่อมทำให้ประสิทธิภาพและต้นทุนการแปรรูปลดลง
  • การตอบโจทย์ของ TFIT Feed Gold:
    • Predictive Health: ด้วยการใช้ ข้อมูล ในการป้องกันเชิงรุก เราช่วยให้คุณอนุทินสามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพสัตว์ในฟาร์มให้ สม่ำเสมอ ได้ตั้งแต่ต้นทาง ผลลัพธ์คือคุณภาพไก่ที่ได้มาตรฐานสูง ลดความสูญเสียในสายการแปรรูป

ข้อสรุปสำหรับการนำเสนอ:

ทีมขายควรเน้นย้ำว่า TFIT Feed Gold คือการลงทุนในด้าน Risk Mitigation (การลดความเสี่ยง) ที่ช่วยให้คุณอนุทินมั่นใจในการรักษามาตรฐานระดับโลก และสนับสนุนเป้าหมายของบริษัทในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินผ่านการส่งออกที่ปราศจากความเสี่ยง

นี่คือตัวอย่างการใช้ AI วิเคราะห์ลูกค้าและทำการบ้าน ทำสคริปต์การเข้าพบที่รวดเร็วและทำง่ายๆ แค่ ปลายนิ้วเองครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts