วิธีจัด ‘งานแต่งงาน’ ให้คุ้มค่าและมืออาชีพที่สุด

เซลล์ร้อยล้านมีประสบการณ์เกี่ยวกับการแต่งงานในชีวิตนี้มากถึง 2 ครั้ง! (กับภรรยาคนเดิมนะครับ ฮา) จึงได้เรียนรู้ขั้นตอนการแต่งงานแทบจะทุกขั้นตอน เรียกได้ว่าเชี่ยวชาญระดับนึงเลยก็ว่าได้ครับ

ซึ่งผมเองก็ได้มีส่วนในการวางแผนการแต่งงานทุกขั้นตอนร่วมกับภรรยา และแน่นอนว่ามันเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ท้าทายความสามารถของตัวเองเป็นอย่างมาก ทุกอย่างที่ทำมานั้นทำให้ผมได้เรียนรู้วิธีการจัดงานแต่งงานแบบมืออาชีพด้วยตัวของตัวเองมากๆ เลยครับ (ปรึกษาผมได้นะครับ ไม่คิดเงิน ฮา)

ส่วนตัวผมเองมักได้ยินจากคนรอบข้างอยู่เสมอว่าการจัดงานแต่งงานต้องใช้เงินลงทุน โดยเฉพาะฝ่ายเจ้าบ่าวอย่างเราๆ ที่อาจจะไม่ได้มีทุนทรัพย์จากทางบ้านมากนัก สำหรับคนที่มีทุนหนาและครอบครัวสนับสนุนด้านการเงินก็คงไม่มีปัญหา จัดเต็มได้สบาย แต่สำหรับคนทั่วๆ ไป ก็คงต้องคิดเรื่องนี้ มากน้อยขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ของแต่ละคน

ปัจจัยด้านการจัดงานแต่งไม่ได้มีแค่ค่าโรงแรมเท่านั้น แต่ยังมีค่าออแกไนซ์ ค่าตกแต่ง ค่าสินสอด และค่าอะไรต่อมิอะไรมากมาย คนที่ไม่เคยแต่งงานมาก่อนอาจมีปัญหาและใช้ระยะเวลายาวนานกว่าเดิมได้

ผมจึงขออาสาที่จะแก้ปัญหาให้คุณในฐานะของเซลล์ร้อยล้านด้วยตนเองเลยครับ (ยิ้ม) รบกวนแชร์ให้กับเพื่อนๆ ที่กำลังจะแต่งงานด้วยนะครับ


1. ประเมินตัวเองก่อน

นี่คือสิ่งแรก (ย้ำ) ที่คุณต้องทำคือการประเมินกำลังของตัวเองก่อน โดยเฉพาะสถานะในปัจจุบัน เช่น หน้าที่การงาน กลุ่มเพื่อน รายได้ สังคม ฐานะทางบ้าน ฯลฯ ถ้าพูดให้ง่ายกว่านั้นก็คือถ้าคุณเป็นคนมีฐานะ มีกลุ่มเพื่อน ครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหายที่มีสถานะใกล้เคียงคุณ คุณก็ต้องเลือกตัดสินใจที่จะจัดงานให้มีขนาดใหญ่ โรงแรมหรูหรา สมฐานะเอาไว้ก่อน เพื่อดึงคนที่อยู่ในสังคมเดียวกับคุณเข้ามาร่วมงานและแสดงความยินดีมากที่สุด แต่ถ้าฐานะและสถานะทางสังคมของคุณไมไ่ด้มีมากขนาดนั้น การประเมินกำลังให้อยู่ในสถานะที่รับได้ เช่น สถานที่ อาหาร การจัดงาน ฯลฯ ก็ควรใช้งบประมาณที่ไม่มากจนเกินไป เพื่อการประเมินรายได้ที่เข้ามาในลำดับถัดไป

2. ทำลิสท์รายชื่อแขกตามเกียรติ วิทยฐานะ และความสนิทสนม

การเชิญแขกผู้มีเกียรติของคุณจะเริ่มต้นจากการ “หาลีด” คล้ายกับการขายของให้กับลูกค้าใหม่ ลีดที่ดีก็จะไล่ลำดับตั้งแต่ “ความสำคัญ” เริ่มตั้งแต่ ครอบครัวและญาติ เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน ไปจนถึงเพื่อนห่างๆ แม่กระทั้งคนรู้จักก็ตาม จงสร้างตารางรายชื่อขึ้นมา (คล้ายเซลล์รีพอร์ท) เพื่อบันทึก ชื่อ ที่อยู่ กลุ่มแขก จำนวนผู้ติดตาม ฯลฯ ให้ครบถ้วน เพื่อให้คุณเตรียมการ์ดเชิญตามจำนวนที่น่าจะเป็นขึ้นมาจากความสำคัญ ความสนิทสนมของรายชื่อแขกแต่ละราย เพียงเท่านี้ก็จะทำให้คุณรู้ต้นทุนเรื่องการทำการ์ดและจำนวนแขกได้อย่างง่ายแล้วล่ะครับ จำไว้นะครับว่างานเลี้ยงที่แย่ที่สุดก็คืองานเลี้ยงที่ไม่มีคนมาร่วมงาน หรือมาร่วมงานน้อยกว่าที่จะเป็นอย่างน่าใจหายนั่นเอง

3. คำนวณต้นทุนทุกอย่างให้เรียบร้อย

ต้นทุนคือทุกสิ่งในการคำนวณจำนวนแขกที่คุณจะเชิญ ต้นทุนที่สำคัญในที่นี้ก็คือ ค่าโรงแรมและสถานที่เป็นอันดับแรก ซึ่งมากน้อยก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนดาวและราคาเสนอขายในแต่ละที่ ถ้าคุณจัดโรงแรมห้าดาว แน่นอนว่าต้นทุนก็ต้องสูงขึ้น แต่ถ้าเป็นสถานที่นอกจากโรงแรมที่ต่ำกว่า 5 ดาวหรือสถานที่ที่ไม่ใช่โรงแรม ราคาก็ควรจะต่ำกว่าอย่างแน่นอน นอกจากนี้ “ต้นทุนแฝง” ที่ตามมาก็คือค่าจิปาถะ เช่น ค่าแต่งหน้า ค่าออแกไนซ์ ค่าซุ้มดอกไม้ ค่าช่างภาพ ฯลฯ ซึ่งต้องคำนวณให้ครบถ้วนเพื่อการวางแผนให้พอกับค่าใช้จ่ายที่ครอบคุมทั้งหมด

4. ต่อรองราคาค่าใช้จ่ายต่างๆ กับโรงแรมและรายละเอียดอื่นๆ ให้มากที่สุด

ทักษะการเจรจาต่อรองของคุณจะถูกงัดออกมาใช้ทั้งหมดในขั้นตอนนี้ ทุกอย่างก็เผื่อ “ผลประโยชน์สูงสุด” ของคุณ ทราบหรือไม่ว่าค่าใช้จ่ายแทบทั้งหมดสำหรับงานแต่งงาน เช่น ค่าโรงแรม ค่าออแกไนซ์ ค่าการ์ด ค่าแหวนเพชร ค่าตกแต่ง ค่าช่างภาพ ฯลฯ สามารถต่อรองได้แทบทั้งหมด โดยเฉพาะข้อเสนอในตอนแรกจากเซลล์หรือผู้ให้บริการ จงต่อราคาอย่างมีชั้นเชิงแบบไม่ให้น่าเกลียดเกินไป ค่อยๆ ขอลดราคาทีละน้อย ซึ่งบางรายการอาจไม่ขอต่อรองเฉพาะราคาเพียงอย่างเดียว แต่คุณสามารถต่อรองด้วยของแถมหรือระยะเวลาก็ได้ ต่อให้การเจรจาต่อรองไม่ลงตัว คุณก็สามารถหาตัวเลือกสำรองเอาไว้ที่ใกล้เคียงกับข้อเสนอที่คุณต้องการในกรณีฉุกเฉินได้

5. เริ่มเชิญคนด้วยการ์ดที่พิมพ์ชื่ออย่างถูกต้องให้มากที่สุดแบบมืออาชีพ

ทักษะการทำนัดจะสามารถประยุกต์ใช้กับการเชิญคนเทียบเท่ากับการนัดลูกค้าได้เป็นอย่างดี งานแต่งงานจะดีไม่ดี ขึ้นอยู่กับ “ผู้ร่วมงานเป็นหลัก” ซึ่งถ้าคุณเชิญแต่คนไม่มา นอกจากงานจะกร่อยและล้มเหลวแล้ว คุณยังรู้สึกเสียหน้าหรือรู้สึกว่าลงทุนไปแล้วไม่คุ้มค่าได้ด้วย วิธีการเชิญคนอย่างมืออาชีพที่สุดคือการทำนัดไปเชิญต่อหน้า โดยเฉพาะบรรดาญาติสนิทมิตรสหายทั้งหลาย รองลงมาก็คือการโทรไปหา หรืออย่างน้อยที่สุดคือการไลน์ไปทักแบบมีข้อความ

สิ่งที่แย่ที่สุดคือการเชิญคนแบบใชเฟซบุ้คดึงคนมาเข้าร่วมอย่างเดียว แต่ไม่เคยทำนัดเจอหน้าหรือโทรหาเลย อย่างนี้คุณมีแนวโน้มที่คนอื่นจะไม่มางานคุณมาก และพวกเขาจะรู้สึกว่าคุณไม่ให้เกียรติจนไม่มางานคุณเลย ระยะเวลาก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ควรเชิญก่อนถึงวันงานประมาณ 1 เดือนหรือ 2 สัปดาห์ก่อนหน้าวันงาน การเชิญที่กระชั้นชิดเกินไปจะทำให้พวกเขาอาจไม่มีเวลาหรือวางแผนไม่ทันจนมาได้ไม่ได้นั่นเอง ดังนั้นการ์ดแต่งงานหรือรายชื่อแขกก็ควรจะเตรียมเสร็จสิ้นตั้งแต่ 1 เดือนก่อนวันแต่งงานแล้ว

6. จงอย่าลืมเรื่องการติดตามงาน

การส่งการ์ดเชิญหรือทำนัดเป็นสิ่งที่สำคัญในการ “ระดมแขก” ให้มาร่วมงานคุณให้มากที่สุด ซึ่งถ้าคุณเชิญได้มากที่สุดตามเป้าหมายที่คาดคะเนเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่จงอย่าลืมการติดตามงานเป็นอันขาด เช่น 2 สัปดาห์ก่อนวันแต่งงาน คุณควรโทรหรือส่งข้อความไปย้ำว่าคุณจะมีวันแต่งงานที่แน่นอน เพื่อกันแขกลืมหรือติดเรื่องที่ไม่คาดคิด เพราะทุกอย่างก่อนวันแต่งงานย่อมเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการของแต่ละคน การติดตามงานและย้ำถึงวันเชิญให้พวกเขามาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่พวกคุณควรทำ


วันนี้เซลล์ร้อยล้านจึงขอแชร์บทความพิเศษตามประสบการณ์ของผมนะครับ ขอบอกเลยว่าโคตรเวิร์ก รบกวนแชร์ให้เพื่อนๆ ที่กำลังจะแต่งงานกันด้วยนะครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น