หัวกระไดไม่แห้งด้วยสูตรการเขียน Resume จาก Google

กูเกิ้ล (Google) คือมหาอำนาจองค์กรที่สามารถชี้นำโลกได้อย่างแท้จริง (อย่างกะทานอส) ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขารวยแบบสุดๆ นวัตกรรมเทพจัดๆ ที่สำคัญคือองค์กรพวกเขาติดอันดับองค์กรที่น่าทำงานที่สุดในโลก

ดังนั้นคงไม่ต้องบอกนะครับว่าเรซูเม่ทั้งโลกที่ส่งเข้าไปในกูเกิ้ล “ต่อวัน” คงมีระดับหลายหมื่นหลายแสนใบเลยทีเดียว แน่นอนว่าการคัดเลือกคนระดับ “เพชรยอดมงกุฎ” ของพวกเขาคงต้องมีวิธีการอะไรดีๆ แน่ ในเมื่อใครๆ ก็มีโปรไฟล์ดีเหมือนกัน แถมยังลดขั้นตอนการสัมภาษณ์ที่เสียเวลาได้อีกด้วย สาเหตุก็เพราะพวกเขาคัดเลือกคนจากการเขียน Resume นั่นเองครับ

สูตรที่ผมจะมอบต่อจากนี้ บอกเลยว่าต่อให้ไม่ได้ทำงานที่ Google แต่เรซูเม่ขั้นเทพจะช่วยให้คุณได้งานบริษัทดี บริษัทดัง และเนื้อหอมจนหัวกระไดไม่แห้งเลยล่ะครับ เชื่อผมเถอะ ผมทำมาแล้ว คนจีบตรึม

1. Format Style Google

คุณควรมีเค้าโครงเรซูเม่ที่กูเกิ้ลชื่นชอบ มันเป็นมาตรฐานที่คุณควรเอามาใช้เดี๋ยวนี้เลย เพราะเรซูเม่ที่ยึดตามรูปแบบของ Google จะมีความอ่านง่าย ตรงประเด็น และเข้าตาเหล่า HR หรือ Hiring Manager โดยรูปแบบที่ Google แนะนำ มีดังนี้

Contact Info: คือข้อมูลติดต่อสำหรับคุณ ควรมีข้อมูลพอสังเขปดังนี้
– รูปภาพ ใส่สูทหล่อๆ หน่อยนะครับ
– ชื่อ-นามสกุล ภาษาอังกฤษทั้งหมด
– อีเมล: ควรเป็นอีเมลที่ใช้ชื่อจริงผสม ไม่มีคำแปลกๆ หรือไม่เหมาะสม แนะนำให้เอาชื่อจริงกับใช้ Gmail
– เบอร์โทรมือถือ
– ที่อยู่: เอาแค่ Bangkok, Thailand พอ
– LinkedIn Account: ควรมีเพื่อให้เรซูเม่คุณสามารถเปิด

คร่าวๆ ประมาณนี้ก็พอครับ วันเดือนปีเกิด เพศ อะไรทำนองนี้ไม่ต้องใส่ เปลืองพื้นที่เปล่าๆ และที่สำคัญต้องเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด

– Experiences: ประสบการณ์ในการทำงาน ประกอบด้วยชื่อบริษัท ตำแหน่ง เดือนและปีที่ร่วมงาน
– Education: การศึกษา เอาแค่ระดับปริญญาฯ ก็พอ มัธยมไม่ต้องนะครับ
– Certificated: จำเป็นมากๆ สำหรับคนที่ทำงานทางด้านเทคนิค หรือระดับผู้บริหารก็ควรมีใบเซอร์ฯ เข้าฝึกอบรมจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ
– Skills: หรือทักษะ ซึ่งจะบอกวิธีใส่ข้อมูลที่ถูกต้องในภายหลัง
– Language: หรือทักษะทางภาษา เช่น English – Professional, Thai – Native เป็นต้น

เรซูเม่ที่ดีไม่ควรเกิน 2-3 หน้านะครับ

2. สูตร PAR สำหรับการเขียนอธิบายประสบการณ์ที่เคยทำสไตล์ Google

นี่คือกุญแจแห่งการทำให้เรซูเม่ของคุณเข้าตา มันเจ๋งมากๆ และสามารถอธิบายความสามารถที่ผ่านมาแบบจับต้องได้ ก่อนอื่นต้องเข้าใจนะครับว่าหลายๆ คนมักก็อปปี้ Job Description มาใส่ในเรื่องประสบการณ์ บอกเลยว่าห้ามทำเด็ดขาด เพราะมันวัดอะไรไม่ได้เลยว่าคุณเจ๋งแค่ไหน

สูตร PAR จะสามารถทำให้คุณอธิบายผลงานหรือสิ่งที่ทำที่ผ่านมาได้อย่างโดดเด่น วิธีการใช้มีดังนี้

P = Problems คือปัญหาที่คุณได้ลงมือแก้ไข
A = Action คือสิ่งที่คุณทำในงานเพื่อแก้ปัญหานั้น
R = Result คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

ซึ่งสูตร PAR จะต้องเขียนจากสิ่งที่คุณทำงานมาก่อนหน้านี้และเป็นสิ่งที่ตรงหรือใกล้เคียงกับตำแหน่งงานใหม่ที่คุณต้องการสมัคร ตัวอย่างเช่น คุณสมัครงานตำแหน่ง Sales Director โดยมีประสบการณ์ระดับ Sales Manager มาก่อน คุณจึงอธิบายความสำเร็จในงาน ดังนี้

P = แก้ไขเรื่องยอดขายและผลงานทีมขาย
A = ด้วยแผนการขายใหม่และกลยุทธด้านการขาย โค้ชชิ่งทีมขายที่มีประสิทธิภาพจากไอเดียของคุณเอง
R = ยอดขายของบริษัทปี 2021 Q1-3 โตขึ้น 120% และทีมขายมี 90% มียอดขายเกิน 100%

ซึ่งคุณสามารถเขียน PAR เพิ่มเติมได้อีกจากการเริ่มต้นของ Problem ในบริษัทก่อนจ้างคุณมา และคุณทำให้มันดีขึ้นได้อย่างไรนั่นเองครับ นอกจากนี้ยังสามารถใส่ Bullet: Award หรือรางวัลที่เคยได้รับจากบริษัทเก่าได้อีกด้วย เช่น เป็น MVP Top Sales of the year 2020 เป็นต้น

3. เขียน Skills ให้เข้าตา

Skills หรือทักษะก็เป็นอีกหนึ่งหมวดหมู่ที่ทำให้คุณโดดเด่นขึ้นมากๆ แบ่งออกเป็นดังนี้

Jobs-Related Skills คือทักษะหรือความสามารถที่ “เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร” ตัวอย่างเช่น

ตำแหน่ง Sales Manager มี Jobs-Related Skills ที่ควรใส่ ดังนี้
– Sales Coaching and Training Skills
– Sales Management and Leadership Skills
– Good to create Sales Strategy and Action Plan
– Stakeholders Management Skills

ต่อมาคือ Technical Skills คือทักษะหรือความสามารถทางเทคนิค มีผลมากๆ ต่อคนที่ต้องการสมัครงานตำแหน่งงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง ตัวอย่างของงาน Sales Manager เช่น
– CRM and Data Visualization Skills
– Business Intelligent Skills
– Strong in Data Analytics to create new sales strategy

ลองเอาหลักการของ Google ไปปรับใช้ดูนะครับ รับรองว่าได้งานใหม่หรือมีเหล่า Recruiter มาจีบแบบหัวกะไดไม่แห้งแน่นอน ผมรู้เพราะผมลองมาแล้วครับ

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts