อยู่บริษัทเล็ก vs. อยู่บริษัทใหญ่ เลือกเส้นทางนักขายแบบไหนถึงจะรุ่ง?
บทความนี้ผมได้ไอเดียมาจากกระทู้พันทิปที่มีความฮอตเลยทีเดียว กระทู้เกี่ยวกับการทำงานในบริษัทเล็กที่คนทั่วๆ ไปหรือระดับเจ้าของบริษัทเล็กมักจะบอกกับผู้สมัครว่าการทำงานในบริษัทเล็กนั้นมีอะไรที่ได้เรียนรู้หรือลงมือทำมากกว่าบริษัทใหญ่ ซึ่งหลายๆ คนก็เถียงว่าบริษัทใหญ่ย่อมดีกว่าสิ ชื่อเสียง สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สวัสดิการเจ๋งๆ แถมฐานเงินเดือนยังสูงกว่า สำหรับผมแล้ว “เถียงกันไปก็ไม่จบ” บางครั้งเป็นหัวหมาก็ดีกว่าหางราชสีห์ แต่บางที “มองไกลบนไหล่ยักษ์” ก็เป็นอะไรที่ดีกว่า ดังนั้นมาเทียบกันให้เห็นแบบ “ปอนด์ต่อปอนด์” กันเลยว่าอย่างไหนดีกว่ากันครับ
1. ฐานเงินเดือน สวัสดิการ การสนับสนุน เครื่องมือ เทคโนโลยี การฝึกอบรม
บริษัทเล็ก vs. บริษัทใหญ่: ให้บริษัทใหญ่ชนะขาดเพราะ…
นักขายมีโอกาสรับค่าตอบแทนที่สูงกว่าไล่ตั้งแต่ฐานเงินเดือน ได้สวัสดิการค่อนข้างครบครัน เครื่องไม้เครื่องมือช่วยทำงานขั้นสูง มีทีมหลังบ้านคอยดูแลระหว่างขายและหลังการขาย แถมยังมีโปรแกรมฝึกอบรมพนักงานขายอย่างสม่ำเสมอ มาตรฐานระดับนี้ต้องลงทุนทั้งเวลาและทีมงานสูงมาก บริษัทขนาดเล็กจึงสู้เรื่องนี้กับบริษัทใหญ่แทบไม่ได้ครับ
2. โอกาสเติบโต ที่ไหนใช้เวลาสั้นกว่า?
บริษัทเล็ก vs. บริษัทใหญ่: ให้บริษัทเล็กชนะ เพราะ….
บริษัทเล็กคือหัวหมาอย่างแน่นอน แต่ก็ได้เป็นหัว เหตุผลง่ายๆ คือถ้าคุณทำผลงานได้ดี ช่วยบริษัทเติบโตไปเป็นร้อยล้าน หรือถึงขั้นเข้าตลาดหุ้น คุณมีโอกาสนั่งแท่นเป็นผู้บริหารหรือที่เขาเรียกกันว่า “The Original” ซึ่งหลายๆ บริษัทมักดึง “ลูกหม้อ” ที่อยู่กันมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นเป็นผู้บริหาร ที่สำคัญคือในฐานะนักขายคุณมีโอกาส “ล่า” ลูกค้าใหม่ๆ จนกลายเป็น Key Account แต้มบุญและจะอยู่ในมือคุณจนกลายเป็นท็อปเซลล์ เทียบกับบริษัทใหญ่ ถ้าคุณมาทีหลังก็แทบจะหมดหวังเพราะหาลูกค้าใหม่ก็ไปเหยียบตาปลาคนอื่น ส่วน Key Account ก็แย่งไม่ได้เพราะมีเจ้าที่ (เพื่อนนักขาย) คุมอยู่แล้ว (ฮา)
3. จุดแข็งด้านสินค้าและบริการที่ช่วยให้นักขายหาเงินง่ายขึ้น
บริษัทเล็ก vs. บริษัทใหญ่: บริษัทใหญ่ชนะ เพราะ…
บริษัทใหญ่มีความแข็งแกร่งทั้งเรื่องชื่อเสียง ฐานลูกค้า เงินทุน เทคโนโลยี ทีมงานสนับสนุนโดยเฉพาะทีมคิดสินค้าหรือการตลาดใหม่ๆ นักขายย่อมขายง่ายเป็นธรรมดา บางบริษัทถึงขั้นเป็น “เจ้าของลิขสิทธิ์” สินค้าบางอย่างเลยด้วยซ้ำ ผลก็คือสามารถผูกขาดตลาดหรือมีคู่แข่งเพียงแค่ไม่กี่รายมาเทียบชั้นได้ ลองคุณไปเป็นเซลล์กูเกิ้ลสิ ถ้าขายไม่ได้ก็บ้าแล้ว เผลอๆ ลูกค้าเกรงใจด้วยซ้ำ ส่วนบริษัทเล็กไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่เจ๋งจริงถึงขั้นคิดสิ่งใหม่ก็มักขายอะไรที่คู่แข่งเต็มตลาด แถมมีเจ้าที่ คอนเนคชั่นก็ไม่มี นักขายจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะปิดการขายได้ (แสดงว่าใช้ฝีมือจริงๆ)
4. ความมั่นคงและความยั่งยืน
บริษัทเล็ก vs. บริษัทใหญ่: บริษัทใหญ่เหลื่อมๆ กว่าบริษัทเล็กนิดเดียว เพราะ…
เพราะรวยกว่า สายป่านยาวกว่า บริษัทไม่ล้มง่ายๆ ส่วนบริษัทเล็กถ้าผู้บริหารหรือเจ้าของไม่แน่จริงก็อาจจะ “ม้วนเสื่อ” กลับบ้านครับ แต่จริงๆ แล้วบริษัทเล็กกลับมีโอกาสที่ดีกว่าในการเป็นลูกรักเจ้าของบริษัทเพราะคุณทำงานตรงกับเจ้าของฯ โดยตรง ไม่ใช่กับลูกจ้างเหมือนๆ กัน ถ้าได้เป็นลูกรักเมื่อไหร่ โอกาสโดนไล่ออกนั้นต่ำมากๆ ถ้าไม่ทำอะไรผิดพลาดจริงๆ
5. โอกาสในการมีอำนาจภายในบริษัท
บริษัทเล็ก vs. บริษัทใหญ่: บริษัทเล็กชนะขาด เพราะ…
คุณทำงานกับเจ้าของหรือหัวหน้าเพียงแค่ไม่กี่คน ทำให้เวลาทำงานได้เข้าตา การประเมินผลจะย่อมอยู่ในสถานะลูกรักได้ง่ายกว่าบริษัทใหญ่ซึ่งมีคนอยู่บนหัวเยอะกว่ามาก เผลอๆ ชาตินี้ไม่มีทางถึงตัวเจ้าของบริษัทเลยด้วยซ้ำ อยู่เป็นหัวหมายิ่งสร้างผลงานโดดเด่น ก็ยิ่งอยู่ได้สบายๆ อำนาจล้นฟ้า เผลอๆ สั่งเจ้าของได้ด้วยซ้ำ แต่บริษัทใหญ่ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในฝ่ายบริหารจริงๆ ก็ต้องอดทนรอจนกว่านายบนหัวมันจะลาออกหรือเกษียณ คนที่ไม่ค่อนชอบเป็นลูกน้องคนอื่นจึงมักทนไม่ค่อยได้ ลาออกไปเปิดบริษัทเองก็เยอะ แต่ถ้ารอไหวก็คุ้มค่าแก่การรอคอยแน่นอน เพราะการได้เป็นใหญ่ในบริษัทใหญ่ถือว่าเป็นฝันอันสูงสุดของใครหลายๆ คน
6. ค่าคอมมิชชั่น ค่าจูงใจ ค่าตอบแทนต่างๆ
บริษัทเล็ก vs. บริษัทใหญ่: บริษัทเล็กยืดหยุ่นและจ่ายได้มากกว่าในบางกรณี เพราะ
บริษัทเล็กมักมีระบบการจ่ายค่าคอมมิชชั่นที่ไม่ซับซ้อน หลายๆ ที่จ่ายจากยอดขายเลยด้วยซ้ำ จึงมีโอกาสได้ค่าคอมมิชชั่นเกินเพดานหรือฐานเงินเดือนมาตรฐานของคนไทยพอสมควร ส่วนบริษัทใหญ่มักมีระบบการจ่ายคอมมิชชั่นรวมกับฐานเงินเดือนที่ไม่ได้โอเวอร์มากนัก สาเหตุคือฝ่ายการเงินกับระบบเซ็ตการจ่ายค่าคอมมิชชั่นตามราคาตลาด และมีอีกหลายฝ่ายที่มีส่วนช่วยให้นักขายปิดการขายได้ง่ายขึ้น บริษัทใหญ่จึงไม่ได้ค่าคอมเยอะอย่างที่คิดครับ
7. อนาคตและความก้าวหน้า
บริษัทเล็ก vs. บริษัทใหญ่: ไม่มีคำตอบที่แน่นอน
ถ้าคุณอยากเป็นใหญ่เร็วๆ หรืออยากเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยตนเอง การทำงานกับบริษัทเล็กๆ แล้วทำงานสายตรงกับเจ้าของบริษัทจะเรียนรู้รอบด้านได้มากกว่า ส่วนใครต้องการโลดแล่นอยู่ในวงการ “ลูกจ้างมืออาชีพ” เงินเดือนหลักแสน สวัสดิการครบครัน หัวโขนหรือตำแหน่งบนนามบัตรที่อวดคนทั้งหมู่บ้านได้ก็ต้องไปทำงานบริษัทใหญ่หรือบริษัทระดับโลกครับ
สรุปคือไม่มีเส้นทางไหนดีกว่ากันครับ มีแต่เส้นทางที่เหมาะกับคุณที่สุดเท่านั้นเอง ลองถามตัวเองดูว่าคุณให้คุณค่ากับอะไรในการทำงาน แล้วคุณจะเจอคำตอบที่ใช่ครับ
Comments
0 comments