เป็นนักขาย-นักธุรกิจที่ดี..ต้องมีสกิล 'ปาก'

“ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา”

ปฎิเสธไม่ได้ว่านักขายหรือนักธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ล้วนต้องมีสกิล ‘ปาก’ ที่ดี ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการช่วยคุณ ‘ทำมาหากิน’ และนำผลประโยชน์จากลูกค้า เข้าสู่กระเป๋าคุณได้

‘ใช้ปากทำงาน’ คงเป็นคำนิยามขบขัน ที่หลายๆ คนมองว่าเซลล์จะต้องมีสกิลปากที่ดีในการพูดโน้มน้าวลูกค้า จนเกิดความน่าเชื่อถือและซื้อสินค้า ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับนักขาย ทักษะการพูดและถามคำถามที่ดีจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและส่งผลไปสู่การซื้อขาย

หลายๆ คนคงไม่ปฎิเสธหรอกครับว่าเวลาคุณไปซื้อของที่ไหนก็ตาม ถ้าคุณเจอแม่ค้าที่พูดจาสุภาพ ไพเราะ รู้จักกาละเทศะ ก็ย่อมทำให้คุณตัดสินใจซื้อสินค้าจากแม่ค้าคนนั้นได้ไม่ยาก หรือแม้แต่การมีเพื่อน มีแฟน คำพูดคำจาที่ดีจะทำให้คุณเป็นคนที่มีเสน่ห์ เป็นที่รักของทุกๆ คน และนำพาคุณไปสู่ความสำเร็จได้อย่างง่ายดายเลยล่ะครับ

มาดูวิธีการฝึกสกิล ‘ปาก’ ที่ดีกัน ดังนี้

1. พูดจาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แจ่มใส และถูกกาละเทศะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่นักขายหรือนักธุรกิจที่ดีต้องพึงมา การพูดที่แฝงด้วยรอยยิ้มจะสร้างความรู้สึกด้านบวกที่มีต่อผู้ฟัง ส่งผลให้การนำเสนอ เจรจาทางด้านธุรกิจนั้นเป็นไปได้อย่างราบรื่น สร้างความชื่นชอบและชื่นชมเกี่ยวกับบุคลิกส่วนตัวที่ลูกค้ามีต่อคุณ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการ ‘ขายตัวเอง’ ให้ลูกค้าชื่นชอบและไว้วางใจ

กาละเทศะก็เป็นอีกสิ่งนึงที่คุณควรตระหนักถึงอยู่เสมอ การพูดจาที่ผิดคิว ผิดจังหวะ จะทำให้คุณมีภาพลักษณ์ที่เป็นลบ ส่งผลให้ความน่าเชื่อถือในตัวของคุณนั้นลดลงไป การพูดให้ถูกกาละเทศะควรเอาผู้ฟังเป็นตัวตั้งเป็นหลัก เช่น ผู้ฟังอยู่ในอารมณ์ที่ดี คุณก็ควรพูดจาให้สอดคล้องกับสิ่งดีๆ แต่ถ้าผู้ฟังอยู่ในอารมณ์ที่เศร้าสร้อย การพูดจาที่เน้นความสนุกสนานก็ไม่เป็นเรื่องที่เหมาะสมเด็ดขาด กาละเทศะถือว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมีจิตสำนึกที่ดี

2. ห้ามพูดจาล้อคนอื่นเด็ดขาด โดยเฉพาะ ‘ปมด้อย’ ที่เกี่ยวกับรูปร่าง หน้าตา

การพูดที่แย่ที่สุดและน่ารังเกียจที่สุดคือการพูดจาล้อ ‘ปมด้อย’ ของผู้ฟัง ถึงแม้ว่าจะสนิทสนมแค่ไหนก็ตามก็ไม่ควรล้อเลียน โดยเฉพาะปมด้อยที่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา เช่น อ้วน หัวล้าน เตี้ย ดำ ไม่หล่อ ไม่มีดั้ง นมเล็ก ฯลฯ เพราะการพูดจาล้อเลียนเกี่ยวกับปมด้อยของผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นการเหยียดหยามเกียรติของมนุษย์มากที่สุด คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ไม่มีใครอยากเกิดมาแล้วมีปมด้อยหรอกครับ คุณควรต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก

3. สร้างมุขล้อเลียนตลกๆ และมีเสน่ห์ได้ ด้วยการ ‘ล้อ’ ตัวเอง

ถ้าต้องการล้อเลียนใครซักคน ผมแนะนำให้คุณลงมือ ‘ล้อ’ ตัวเองเดี๋ยวนี้เลยครับ เพราะว่าการล้อตัวเองนั้นไม่ได้สร้างความบาดหมาง อับอาย ขุ่นเคืองให้กับใครทั้งสิ้น

ข้อดีของการล้อตัวเองคือการสร้างความเป็นกันเองและทำให้ลูกค้าหรือผู้ฟังรู้สึกว่าคุณไม่ถือตัว มองโลกง่ายๆ ไม่เครียด เพราะคุณกล้าล้อตัวเอง โดยอาจจะปนกับมุขตลกอีกซักเล็กน้อยก็ได้ เช่น

“ผมรู้ดีครับว่าผมเป็นคนหัวเถิก ลูกค้าเลยอาจจะรู้สึกร้อนขึ้นมากกว่าปกตินะครับ (ฮา..แฝงด้วยเสียงหัวเราะและมุขตลก)” ตัวอย่างที่คุณกล้าล้อตัวเองจะทำให้ลูกค้ารู้สึกขำขันและทำให้คุณกลายเป็นคนที่ไม่แคร์ว่าปมด้อยของคุณจะมาขวางกั้นอะไรคุณได้ แถมยังเป็นการสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนรอบข้างได้อีกด้วย

4. ไม่พูดเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น

เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับนักขายและนักธุรกิจนะครับ จุดตายของคนส่วนใหญ่ที่คุณต้องระวังคือการ ‘บลัฟ’ คู่แข่ง พูดในด้านลบเกี่ยวกับคู่แข่ง และพยายามชูจุดแข่งของสิ่งที่คุณนำเสนอมากเกินไปว่าเหนือกว่ารายอื่น

สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างกับการเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น ตัวเองดีที่สุดเสมอ สิ่งนี้จะเป็นจุดตายที่ทำให้ลูกค้าไม่มีความเชื่อมั่นกับคุณ และส่งผลร้ายต่อการทำธุรกิจในที่สุด สิ่งที่คุณควรทำก็คือการพูดแบบกลางๆ โดยไม่โจมตีคู่แข่งใดๆ ทั้งสิ้น ควรให้ลูกค้าเป็นผู้ตัดสินเองว่าใครดีหรือไม่ดีกันแน่

5. พูดด้วยน้ำเสียงปกติ เป็นตัวของตัวเอง

ผมไม่เถึยงว่าสำหรับผู้ชาย การพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม หนักแน่น จะเป็นน้ำเสียงที่ดีในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า สำหรับผู้หญิงก็ควรเป็นน้ำเสียงไพเราะ ไม่แหลมหรือไม่ห้าวจนเกินไป

สำหรับใครที่เกิดมาพร้อมน้ำเสียงที่ไพเราะ ทุ้ม นุ่มนวล หนักแน่น ถือว่าคุณเกิดมาโชคดีแล้วครับ แต่สำหรับคนที่เกิดมาแล้วน้ำเสียงไม่ดี เสียงแหลม เสียงแหบ เสียงทุ้มเกินไป การฝึกฝนก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้แต่บางทีถ้าฝืนเกินไปก็กลายเป็นปัญหาเพราะลูกค้าจะรู้สึกว่าคุณไม่เป็นตัวของตัวเอง ภาษาบ้านๆ ก็คือ ‘ดัดจริต’ นั่นแหละครับ (ฮา..)

สิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญมากกว่าคือการพูดด้วยความเป็นตัวของตัวเอง นั่นคือน้ำเสียงเป็นตัวบ่งบอกความเป็นคุณได้มากที่สุด ไม่จำเป็นต้องดัดเสียงจนไม่เป็นตัวของตัวเองแต่อย่างใด จงรำลึกไว้ว่าขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการซื้อคุณคือเรื่องของ ‘ผลประโยชน์’ อยู่เสมอ น้ำเสียงห่วยแค่ไหนก็สามารถขายของได้ รวยได้ เช่น เสี่ยตัน เป็นต้น

6. พยายามอย่าพูดแทรกผู้พูดเวลาเป็นผู้ฟัง

ใครก็ตามที่เป็นผู้ฟังที่ดี มีแน้วโน้มว่าจะขายของได้และประสบความสำเร็จอยู่เสมอ การเป็นผู้ฟังที่ดีนั้นจะมีสิ่งที่คุณต้องควรระวังคือ ‘การพูดแทรก’ ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่

เช่น คุณไปขัดผู้พูดเรื่องวาระการประชุมในองค์กร คุณขอพูดแทรกโดยที่ไม่ได้ยกมือถือคำถาม สิ่งเหล่านี้จะสร้างความรำคาญใจให้กับคนที่คุณกำลังพูดอยู่ กลายเป็นความน่าเบื่อและไม่อยากคุยกับคุณอีกเป็นหนที่สอง การเป็นผู้ฟังที่ดีเริ่มได้จากการให้อีกฝ่ายมาพูดกับคุณ ยาวๆ นานๆ โดยที่คุณไม่ได้มีบทพูดอะไรมากนัก สัดส่วนการเป็นผู้พูดควรพูดซัก 20% และผู้ฟังควรพูดมากกว่า 80% เป็นต้น

ถ้าคันปากอยากพูดหรือถามคำถาม รอให้ลูกค้าพูดให้ แล้วคุณก็เริ่มถามคำถามที่สอดคล้องกับลูกค้าเวลาที่พวกเขาพูดจนหมดเสมอ  อย่าแทรกเวลาที่คุณมาทีหลัง

7. ไม่พูดมากเกินไป

ข้อนี้ชัดในตัวมันเองอยู่แล้ว ไม่มีใครอยากเป็นปลาหมอตายเพราะปาก แต่หลายๆ คนก็คิดว่าตัวเองเป็นคนพูดมาก ซึ่งไม่ผิดหรอกครับ เพราะหลายๆ คนอาจจะคือทำธุรกิจอย่างอื่นที่ต้องเน้นการพูดเพื่อขายตัวเองและสินค้ามากเป็นพิเศษ ส่วงผลให้สัดส่วนการคุยนั้นห่างกันลิบลับเลย

พูดมาก คุณก็ยิ่งเสียเปรียบ เพราะปัญหาของคนพูดมากคือบางทีคุณอาจจะหลุดข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชัยชนะของแต่ละดีลได้เลย เพราะการพูดมากนั้นไม่ได้ช่วยให้คุณขายดีขึ้นแต่อย่างใด แถมยังเสียเวลาลูกค้ามากๆ เลย

8. ถ้าไม่รู้ ก็ควรหุบปากซะ

เรื่องที่คุณไม่มีความรู้ คุณไม่ควรโชว์ภูมิด้วยการพูดที่ตัวเองไม่รู้จริงเป็นอันขาด เพราะนอกจากจะสร้างความขายหน้าแล้ว ยังสร้างความไม่น่าเชื่อถือเพราะคุณมั่วข้อมูลเพื่อให้คนอื่นยอมรับนั่นเองครับ อะไรที่ไม่รู้ ควรถามผู้รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ หรือไม่ก็หุบปากไปเลยดีกว่า

9. คำขอโทษและขอบคุณเป็นคาถาปากเอกเสมอ

เมื่อใดที่ทำผิด คุณควรเป็นฝ่ายขอโทษอย่างจริงใจ สถานการณ์ที่แย่ลงแต่จะทำให้มันดีขึ้น การขอโทษในสิ่งที่ผิดพลาดไปและรีบลงมือแก้ไขจะทำให้คุณแสดงความสามารถได้มากที่สุด

สำหรับคำขอบคุณ เป็นคำที่คุณต้องขอบคุณตั้งแต่พนักงานต้อนรับหน้าออฟฟิศ แม่บ้านชงกาแฟ เด็กปั้ม เด็กเสริฟ บริกร ฯลฯ เวลาที่พวกเขาบริหารคุณได้ดี คุณควรตอบเราพวกเขาด้วยคำขอบคุณเสมอ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในเลเวลไหน ระดับใดก็ตาม คำขอบคุณควรเป็นคำที่คุณพูดอยู่เสมอ

10. พยายามจำชื่อและทักด้วยชื่อของอีกฝ่ายให้มากที่สุด

นี่คือสุดยอดการใช้ปากเลย การที่คุณจำชื่อคนอื่นได้อย่างชัดเจน และกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง จะทำให้ลูกค้าหรือคู๋ค้ารู้สึกว่าคุณทำการบ้านมา เตรียมข้อมูลอย่างดี และภาคภูมิใจที่อ่านชื่อผู้ที่คุณคุยด้วยได้อย่างเสียงดังฟังชัด ดังนั้นคำพูดคคำจาที่ดี มีมารยาท กาละเทศะ ก็อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ เลย เพราะนี่คือส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำได้ ขนาดร้านกาแฟสีเขียวบางที่ กินประจำ พักงานยังไม่รู้เลยว่าเราชื่ออะไรด้วยซ้ำ

11. หลีกเลี่ยงการพูดเพ้อเจ้อและพูดเรื่องไร้สาระ

อะไรที่เป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ไม่ลงมือทำ อย่างนี้เรียกว่าเพ้อเจ้อ ไร้สาระ ปัญญาอ่อน คุณควรระวังเรื่องนี้ให้ดีๆ โดยเฉพาะกับเพื่อนร่วมงานกับหัวหน้าคุณ

เวลาที่คุณตั้งเป้าหมายอะไรซักอย่าง คุณควรรับผิดชอบตัวเองและหาวิธีลงมือทำใด้ได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดอัตราการพูดเพ้อเจ้อและไร้สาระไปได้อย่างมาก

12. พูดน้อยๆ ฟังเยอะๆ

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ช่าง เช่น พ่อ แม่ เพื่อนสนิท เจ้านาย ลูกค้า ฯลฯ คุณไม่ควรเป็นฝ่ายที่พูดเยอะเป็นอันขาด เพราะมีแนวโน้มว่าคุณจะเป็นพวกขี้โม่ เป็นผู้ฟังที่ไม่ดี ชอบพูดแทรกตลอดเวลาเลยด้วยซ็ำ

มาตรการเร่งด่วนสำหรับคนที่รู้ว่าตัวเองหลุดบ่อยนั่นคือการปรับตัวเองจากคนพูดมาก มาเป็นคนฟังดูบ้าง สิ่งเหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาระยะสั้นและระยะยาวของอาการที่คุณเป็นคนพูดมากได้ไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับการลงมือทำ

สกิลปากที่ดีนั้นสามารถนำเอาไปใช้ได้กับทุกเรื่อง สามารถสร้างเสน่ห์และความน่าเชื่อถือจากคนรอบข้างได้อย่างง่ายดาย ขอเพียงแค่ลงมือฝึกฝน คิดก่อนพูดอยู่เสมอ ก็จะทำให้คุณมีสกิลปากที่ดีและนำเงินคนอื่นเข้าสู่กระเป๋าคุณได้อย่างง่ายดาย

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น