ทำไมคุณถึงต้องมีหัวใจของความเป็นเจ้าของกิจการ (Entrepreneurship)

ผมมักจะกล่าวถึงสิ่งดีๆ ของการทำงานเป็นนักขายหรือเซลล์แมนอยู่เสมอ โดยเฉพาะในแง่ของการได้เรียนรู้ทักษะ ‘การเป็นเจ้าของกิจการ’ (Entrepreneurship) ซึ่งมีน้อยอาชีพที่จะได้ประสบการณ์ที่ล้ำค่าในการต่อยอดให้กับชีวิตไปสู่ความสำเร็จดั่งอาชีพเซลล์

ทักษะนี้ เป็นทักษะที่สำคัญ นักขายที่ผมเคยเจอและมีทักษะนี้ ส่วนใหญ่มีแนวโน้มว่าจะเป็นท็อปเซลล์ มีตำแหน่งและหน้าที่การงานที่ใหญ่โต และผันตัวไปเป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ไม่เชื่อให้ลองหันไปศึกษาประวัติส่วนตัวของเจ้าของบริษัทคุณดูสิครับว่าพวกเขามีวันนี้ได้อย่างไร

นักขายที่มี ‘หัวใจ’ ของความเป็นเจ้าของกิจการ หรือไม่ว่าจะอาชีพใดๆ ก็ตาม ถ้าคุณมีทัศนคติแบบนี้ติดตัว คุณจะกลายเป็น ‘เสือติดปีก’ ในหน้าที่การงานของคุณได้เลย แถมยังผันตัวไปเป็นผู้บริหาร เจ้าของกิจการที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่าใครได้อีกด้วย

มาดูกันครับกับเหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรมีหัวใจของความเป็นเจ้าของกิจการ

1. คุณจะเป็นนักขายที่เก่งขึ้นและมีระดับที่สูงขึ้นเร็วมาก

ตัวคุณจะมีความเข้าใจในหัวอกของเจ้าของกิจการว่าเรื่องของยอดขาย ผลกำไร การหาลูกค้าใหม่และการรักษาฐานลูกค้าเดิมเปรียบเสมือน ‘เส้นเลือดใหญ่’ ขององค์กรที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแสวงหาผลกำไรและการเติบโตทางธุรกิจ

ตัวคุณจะมีความ ‘หิว’ อยู่ตลอดเวลา ‘ออกล่า’ ยอดขายได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่มีคำว่าปฎิเสธในพจนานุกรมของคุณ เพราะคุณรู้ดีอยู่แล้วว่าการหายอดขายเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงพนักงานและองค์กร การทำงานเพียงแค่ทำไปวันๆ รอรับเงินเดือนทุกสิ้นเดือน ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าได้ 

สิ่งที่คุณจะต้องลงมือทำอยู่ตลอดเวลาคือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พัฒนาทักษะการขาย การบริหารคน และปรับทัศนคติให้อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าของกิจการ เรียกได้ว่าคุณมีไมนด์เซ็ท (Mindset) เดียวกันกับเจ้าของบริษัทเลยทีเดียว 

ถึงตรงนี้คุณจะไม่เก่งขึ้นได้อย่างไรครับ ในเมื่อ ‘หัวใจ’ ของคุณอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าของ และตัวคุณเองไม่หยุดที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พัฒนาทักษะการทำงานของตัวเองให้ยอดเยี่ยมขึ้นไป คุณจะเหนือกว่านักขายที่ไม่มีทัศนคติแบบนี้และทำงานไปวันๆ ทันที

2. คุณจะมีความรับผิดชอบที่สูงเกินเงินเดือนที่ได้รับ

สิ่งที่ทำให้คุณเก่งขึ้นและมีระดับที่สูงขึ้นกว่าพนักงานทั่วไปนั่นคือ ‘ความรับผิดชอบ’ ที่คุณจะมีสูงมากๆ เพราะการเป็นเจ้าของกิจการต้องสามารถบริหารจัดการเรื่องทุกเรื่องในองค์กรได้ โดยเฉพาะในเรื่อง ‘ทักษะการแก้ปัญหา’ ซึ่งบางทีคุณอาจจะมีความรับผิดชอบสูงเกินกว่าหน้าที่ที่องค์กรมอบให้ด้วยซ้ำ

ตัวคุณเองจะรู้สึกว่าคุณต้องทำในฐานะที่คุณทำงานให้กับบริษัท พูดอีกนัยนึงก็คือ คุณทำงานมากกว่าเงินเดือนที่คุณได้รับนั่นเอง เจ้าของบริษัทเองก็เช่นกัน กว่าที่เขาจะสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างบริษัทให้ใหญ่โตจนมีปัญญาจ้างคุณ จ้างพนักงานได้หลักสิบ หลักร้อย หลักพันคนได้ พวกเขาต้องผ่านการต่อสู้ทางธุรกิจและทำทุกอย่างด้วยตนเองมาก่อนทั้งนั้น ความรับผิดชอบที่สูงเกินหน้าที่จะทำให้คุณก้าวไปอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาได้ทันที

3. เป็นแนวคิดที่ช่วยให้คุณต่อยอดจาก ‘หมาล่าเนื้อ’ สู่ ‘ผู้จัดการทีม’ และ ‘เจ้าของธุรกิจ’

มีคำกล่าวคลาสสิกเกี่ยวกับอาชีพเซลล์แมนว่า ‘นักขายก็เปรียบเสมือนกับหมาล่าเนื้อ’ เซลล์จะออกล่ายอดขายตามคำสั่งของเจ้านายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เมื่อเวลาผ่านไป อายุที่เพิ่มมากขึ้น สวนทางกับนโยบายบริษัทที่ต้องจ้างเซลล์ที่อายุน้อยลง ทำให้ต้องถูก ‘ปลดระวาง’ ในที่สุด

ถ้าคุณมีหัวใจของความเป็นเจ้าของกิจการ ทัศนคตินี้จะทำให้คุณรู้จักการพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกขั้น คุณลองสังเกตดูสิครับว่าบุคคลระดับประธานบริษัทฯ บางทีพวกเขาไม่ต้องลงมา ‘คลุกฝุ่น’ ขายของเองแล้ว แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณแทน เป็นเพราะพวกเขาพัฒนาทักษะการขาย ต่อยอดมาสู่ทักษะการปั้นคน สอนคน โค้ชชิ่งคน บริหารคนเพื่อสร้างคนให้มาทำหน้าที่แทนพวกเขาได้

คุณเองจะได้ใช้ ‘ความเก๋า’ ที่่ผ่านร้อนผ่านหนาว นำมันมาถ่ายทอดให้กับคนรุ่นใหม่เพื่อให้พวกเขาทำงานแทนคุณได้อย่างราบรื่น คุณจะกลายเป็นผู้จัดการที่ยอดเยี่ยม ซึ่งทักษะการสร้างคนจะทำให้คุณสร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยตนเองโดยใช้คนอื่นขับเคลื่ององค์กรของคุณเองได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ต่างกับธุรกิจทั่วไปที่ไม่มีประสบการณ์ตรงนี้ ทำให้มีอัตราความล้มเหลวสูงกว่าอัตราความสำเร็จนั่นเอง

4. คุณจะเห็นวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กรได้อย่างชัดเจน

สิ่งนี้จะทำให้คุณไม่ใช่เป็นพวกที่ทำงานไปวันๆ เท่านั้น แต่คุณจะมองเห็นอนาคตขององค์กร เป้าหมายที่องค์กรต้องการ ทำให้คุณรู้ทิศทาง แนวโน้ม และวิธีการที่ช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เมื่อคิดวิธีการที่น่าจะทำสำเร็จได้แล้ว คุณเพียงแค่ต้องลงมือทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ เช่น บริษัทตั้งเป้ายอดขายครั้งใหม่ที่สูงขึ้น ท้าทายขึ้น ในฐานะนักขายคือคุณต้องลงมือทำให้หนักและยิงตรงเป้าให้มากขึ้น ผลงานนี้จะทำให้คุณได้โอกาสในการเป็นใหญ่เป็นโตในองค์กรอย่างรวดเร็ว เป็นมนุษย์ทองคำที่บริษัทจะขาดคุณเสียมิได้ ต้องดันคุณนั่งแท่นผู้บริหารโดยไวเลยทีเดียว (เพราะเดี๋ยวบริษัทคู่แข่งจะมาซื้อตัวคุณไปนั่นเอง ฮา..)

แต่บางทีคุณอาจจะมองเห็นอนาคตของบริษัทที่ขาดวิสัยทัศน์ ขาดเป้าหมายและแรงจูงใจใหม่ๆ โดยเฉพาะผลกระทบเชิงมหภาพในอุตสาหกรรมที่มีความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรม IT ที่ไม่กี่ปี เทคโนโลยีนั้นเปลี่ยนเร็วมาก สิ่งที่คุณเห็นจะช่วยให้คุณวางแผนว่าคุณจะต้องก้าวไปสู่อุตสาหกรรมไหน หรือเรียนรู้การขายเทคโนโลยีใดที่ยังอยู่ในเทรนด์ (Trend) ทำให้คุณสามารถเปลี่ยนงานและเติบโตกับงานใหม่ได้อย่างลื่นไหล ไม่ใช่รอให้โดนบีบให้ออกไปวันๆ

5. คุณจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจด้วยตนเอง

ถึงตรงนี้ คงไม่ต้องบอกว่าคุณจะมีความมั่นใจ ความเชี่ยวชาญ และมีทักษะในการบริหารงานด้วยตนเองมากแค่ไหน ในเมื่อคุณเรียนรู้จาก ‘ของจริง’ ได้ทั้งหมดแล้ว แถมยังเป็นนักขายที่มีความสามารถในระดับสูง สามารถสร้างยอดขายได้ด้วยตนเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งใครเหมือนกับที่เจ้าของบริษัทคุณเคยทำได้ ลงมือแก้ปัญหาโดยไม่มีข้ออ้างโดยเด็ดขาด

ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จและร่ำรวย สิ่งที่คุณคิดจะไม่ไกลเกินเอื้อมแต่อย่างใด เหลือเพียงแค่ต้องลองออกไปเสี่ยงและลงมือทำให้เต็มที่ มองตลาดให้ออก มองหาโอกาสให้เจอ แล้วคุณจะประสบความสำเร็จได้แน่นอนโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปหาตำราเรียนที่ไหนมาช่วย คุณนี่แหละที่เป็นผู้เขียนโชคชะตาด้วยตนเอง

วิธีการฝึกให้ตัวเองมีหัวใจของความเป็นเจ้าของกิจการ

1. จงรักในงานที่คุณทำ (ถ้าไม่รักงาน จงรักเงินที่เข้ากระเป๋าคุณ)

ง่ายๆ และตรงไปตรงมา ถ้าคุณเป็นนักขาย จงรักสินค้า รักบริการ รักงานที่คุณทำซะ เพราะคำว่าแพชชั่น (Passion) เป็นกุญแจสำคัญของการอุทิศตน

ถ้าไม่ได้รักงานขาย จงรักเงินที่เข้ามาในกระเป๋าคุณก็ยังดี เพราะเจ้าของกิจการหลายท่านที่ประสบความสำเร็จ จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้ชอบหรือรักงานขายเท่าไหร่นัก แต่พวกเขาทำเพราะมันได้เงิน พวกเขาจึงหันมารักเงินมากกว่างาน ซึ่งตราบใดที่เป็นงานสุจริต ไม่ได้เอาเปรียบ คดโกงใคร ก็ถือว่าเป็นแพชชั่นได้ ไม่ว่ากัน (ยิ้ม..)

2. จงเรียนรู้จากบุคคลระดับผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัท (สำคัญ)

เรื่องนี้แนะนำให้มองผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัทว่าพวกเขาคือลูกค้าคนหนึ่งที่คุณจะต้องเข้าหาเพื่อพูดคุยเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้ได้ ถ้ามีโอกาสได้เจอหน้าและพูดคุยกับพวกเขาบ่อยๆ จงหัดถามคำถามเพื่อขอความรู้ในเรื่องการงานและความเป็นเจ้าของกิจการซะ เชื่อเถอะ พวกเขาอยากเล่าให้คุณฟังแบบไม่กั้กหรอก 

ข้อมูลที่ได้ฟังจากปากของพวกเขา จะเป็นข้อมูลที่มีค่าที่มีแต่บุคคลระดับนี้เท่านั้นที่สามารถสอนคุณได้ มันจะเป็นความรู้ที่ล้ำค่าและจงลงมือทำทันที ทำเดี๋ยวนี้ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรอ

3. จง ‘เลียนแบบ’ บุคลิกและท่าทางของพวกเขา (Fake it until you make it)

บุคลิกและท่าทางที่เป็นมืออาชีพ เป็นสิ่งที่บุคคลระดับเจ้าของกิจการต้องมี เพราะพวกเขาต้องมีความน่าเชื่อถือทั้งภายในและภายนอกอย่างที่สุด 

คุณควรหาไอดอลระดับผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการที่คุณชื่นชอบในองค์กร สังเกตเรื่องการแต่งกาย การวางตัว การพูดจา การถามคำถาม การฟังที่ดีของพวกเขาแล้วนำมันมา ‘เลียนแบบ’ ให้เหมือนพวกเขาให้มากที่สุด ช่วงแรกๆ อาจจะฝืนๆ หน่อยเพราะคุณไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง แต่ถ้าทำไปซ้ำๆ นานๆ คุณจะเริ่มกลายเป็นอย่างพวกเขาได้แน่นอน อยากเป็นอย่างใคร ก็จงเลียนแบบหรือก๊อปปี้พวกเขาเหล่านั้น

4. จงแกะรอยหยักสมองเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จด้วยการอ่านหนังสือ

การอ่านหนังสือดีๆ ซักเล่มที่เกี่ยวกับประวัติบุคคลระดับเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ทั้งคนไทยและบุคคลระดับโลก เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการ ‘แกะรอยหยักสมอง’ ให้เข้าใจความคิดที่อยู่ในหัวของพวกเขาเหล่านั้น

ยิ่งในยุคนี้คุณสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาได้ง่ายๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต กูเกิ้ล ยูทูป วิกิพีเดีย ฯลฯ ดังนั้นจงอ่านเรื่องราวดีๆ และศึกษาวิธีลงมือทำจากพวกเขา คุณจะเข้าใจหัวสมองของบุคคลระดับนั้นและลงมือทำได้ง่ายขึ้นเป็นกองเลยครับ

5. จงสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการทำงานที่เป็นมืออาชีพ

พื้นฐานง่ายๆ ของเรื่องนี้คือการทำงานตามที่รับปาก เพราะบุคคลระดับเจ้าของกิจการจะไม่ผิดคำพูดหรือพูดแล้วไม่ทำโดยเด็ดขาด พวกเขากลัวเรื่องการเสียเครดิต เสียความน่าเชื่อถือกับลูกค้าและคู่ค้าเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็นการทำงานอะไรก็ตาม ในเมื่อรับปากอะไรไว้แล้วก็จงทำให้ได้ หรือถ้าทำไม่ได้ก็ลงมือทำให้ถึงที่สุด ดีกว่าการรับปากสั่วๆ แล้วไม่ลงมือทำ ผิดคำพูด สิ่งนี้จะถือว่าคุณยังขาดหัวใจของความเป็นเจ้าของกิจการทันที

6. จงพยายามแก้ปัญหาโดยไม่มีคำว่า ‘ข้ออ้าง’

เมื่อพบปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องงาน คุณควรลองพยายามแก้ปัญหาด้วยตนเองก่อน เพราะการแก้ปัญหาก็จะเกิดงานตามมา เมื่อทำงานนั้นสำเร็จลุล่วง คุณจะได้เรียนรู้วิธีแก้ปัญหาและวิธีป้องกันปัญหา ทำให้คุณเชี่ยวชาญขึ้นไปอีก

ถ้าปัญหานั้นยากเกินกว่าที่จะแก้ไข จงพยายามมองหาที่ปรึกษา โดยเฉพาะทีมงาน หัวหน้างาน เจ้าของกิจการเพื่อขอคำปรึกษาและคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จลุล่วง อยามัวแต่โทษนู่น นั่น นี่ แล้วไม่ทำอะไรเป็นอันขาด

7. จงสร้างวิสัยทัศน์ของตัวเองว่าถ้าเป็นเจ้าของกิจการแล้วตัวเองจะเป็นบุคคลแบบไหน

เรื่องนี้สำหรับนักขายที่มีความฝันในการเป็นเจ้าของธุรกิจ คงไม่มีปัญหาอะไรมาก เพราะส่วนใหญ่คงหลับตานึกสภาพตอนที่ตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทอยู่เป็นประจำ ถึงจะไม่ได้ลงมือทำอะไรก็ตาม (ฮา..)

แต่ในเมื่อคุณมีความคิดและทัศนคติในการมองเห็นตัวเองที่อยู่ในระดับนั้นแล้ว ถือว่าหัวใจคุณพร้อมเปิดรับการเรียนรู้ทักษะการเป็นเจ้าของกิจการเรียบร้อยแล้วนะครับ น้ำของคุณจะเริ่มไม่เต็มแก้วทันที

ส่วนใครที่ไม่เคยนึกภาพตัวเองเวลายืนอยู่จุดนั้นมาก่อน ผมแนะนำให้ลองทำดูนะครับ เพราะสิ่งนี้มันท้าทายและสนุกเกินกว่าที่คุณจะนึกถึงได้เลย ลองนึกถึงตัวเองเวลามีลูกน้อง ทีมงาน สินค้า และลูกค้าที่ต้องดูแลสิครับ คุณจะรู้เลยว่ามันช่างท้าทายและยากจนเกือบจะเอื้อมถึง แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่คุณจะไปยืนอยู่บนจุดนั้น

8. จงรู้จักการวางแผนชีวิตเพื่อนำตัวเองให้ก้าวไปสู่การเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง

คุณควรเริ่มวางแผนชีวิตตั้งแต่ตอนนี้เลย เช่น วิธีการก้าวไปสู่จุดนั้นตั้งแต่ การทำงาน ผลงาน หลักสูตรการเรียนรู้ต่างๆ ฯลฯ โดยต้องกำหนดสิ่งที่สามารถวัดผลได้ เช่น ระยะเวลาที่จะไปถึงตรงนั้น กิจกรรมที่ต้องทำ วันและเวลาในการทำเรื่องต่างๆ ให้สำเร็จในแต่ละเรื่อง

การลงทุนกับตัวเองก็เป็นสิ่งที่ดีในการเตรียมตัวให้คุณไปยืนอยู่บนจุดนั้น โดยเฉพาะความรอบรู้ทางธุรกิจ การตลาด เทรนด์การขายตั้งแต่ระดับทั่วไป ไปจนถึงระดับโลก สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณมีความเสี่ยงที่น้อยลง ถ้าคุณตั้งใจที่จะก้าวออกจากงานประจำมาสู่ระดับเจ้าของกิจการที่แท้จริงได้

9. จงหัดทำงานเสริมด้วยตนเองเพื่อสร้างหัวใจความเป็นเจ้าของ (Ownership) 

ยุคนี้ การทำธุรกิจเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก มีธุรกิจเกิดใหม่มากมายที่ไม่ต้องใช้ทุนมากมาย เช่น ธุรกิจขายของออนไลน์ ธุรกิจนายหน้า ธุรกิจขายประกัน ธุรกิจเครือข่าย ฯลฯ ผมแนะนำให้คุณลองลงมือทำในสิ่งที่คุณชอบเป็นอันดับแรก

สิ่งที่ผมอยากให้คุณลองทำก็คือการลงมือทำธุรกิจเหล่านี้ซึ่งใช้เวลาไม่มาก ไม่กระทบกับงานประจำคุณมากนัก ใช้ทุนน้อย เพื่อให้คุณได้ฝึกฝนและสร้างหัวใจความเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา ดีไม่ดีงานเสริมเหล่านี้อาจจะสร้างรายได้จนคุณมีความมั่งคั่งมากกว่างานประจำก็ได้ ใครจะรู้ (ยิ้ม..)

ผมขอฝากเรื่องหัวใจของความเป็นเจ้าของกิจการนี้ไว้ ข่าวดีก็คือ อาชีพนักขายนั้นมอบประสบการณ์ที่ใกล้เคียงที่สุดในการเป็นเจ้าของกิจการให้กับพวกคุณอยู่แล้ว เพราะพวกคุณได้ทำงานในส่วนที่เป็น ‘เส้นเลือดใหญ่’ ที่หล่อเลี้ยงองค์กรได้ พวกคุณจึงมีความสำคัญมากต่อเจ้าของบริษัทยังไงล่ะครับ คุณควรคว้าประสบการณ์อันมีค่านี้ไว้ เพื่อให้ชีวิตของคุณเจริญก้าวหน้าได้ต่อไป

Leave your vote

Comments

0 comments

Similar Posts

ใส่ความเห็น